TU อัพเป้ามาร์จิ้นปีนี้ 18.5% ธุรกิจใหม่พารวย

1151

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่ของโลก  โดย “ธีรพงศ์ จันศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า บริษัทยังยืนยันจะสร้างอัตรามาร์จิ้นให้เติบโตในระดับ 20 % ภายในปี 2025 จากปีที่ผ่านมาที่บริษัททำได้ 18.20% ถือเป็นระดับที่น่าพอใจ ส่วนเป้าปีนี้ตั้งเป้าอัตรามาร์จิ้นไม่น้อยกว่า 18.50% โดยหลักๆจะมาจากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง อาหารกุ้ง กลุ่มอินกรีเดียนท์ ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ของบริษัท ซึ่งเป็น กลุ่มที่มีมาร์จิ้นเกิน 20 % ส่วนรายได้ตั้งเป้าเติบโตราว 5 %

ซึ่งคาดว่าผลงาน Q1 จะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งไตรมาสนี้จะมีโอกาสที่จะปรับราคาสินค้าในกลุ่ม OEMได้ตามต้นทุนที่ปรับขึ้น อย่างไรก็ตามจากปัญหาความตึงเครียดในยูเครนและรัสเซียไม่ได้สร้างผลกระทบกับบริษัทเนื่องจากมีส่วนธุรกิจที่ลงทุนไม่มาก

ธุรกิจหลักเน้น“โรบอทสร้างโปรดักทิวิตี้”อัพมาร์จิ้น

ในขณะที่กลุ่มธุรกิจหลักอาหารทะเล อาหารแช่แข็งจะเน้นไปที่โรบอท หรือหุ่นยนต์ ออร์โตเมชั่น สร้างโปรดักทิวิตี้ โดยการเน้นลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้มากขึ้น โดยบริษัทจะมุ่งเน้นกำไรมากกว่าจะมุ่งทางด้านยอดขาย ซึ่งในส่วนอินกรีเดียนที่บริษัทเริ่มดำเนินการมาเป็นระยะเวลา 3-4 ปี ที่ผ่านมาโดยเฉพาะ น้ำมันทูน่า และได้มีการต่อยอดเพิ่ม พร้อมกับได้มีการสร้างโรงงานใหม่ โปรตีนไฮโดรไลเสทและคอลลาเจนเปปไทด์ ด้วยเม็ดเงินลงทุนจำนวน 26 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มเติมคาดว่าจะแล้วเสร็จปีนี้และเริ่มสร้างรายได้ปี 2023 ซึ่งคอลลาเจนเปปไทด์ มีความต้องการในตลาดสูงมากในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังได้สร้างโรงงานเพื่อผลิตอาหารสำเร็จรูปโดยการรวม 3 โรงงานเดิมเข้ามาอยู่ในที่ใหม่โดยมีมาตรฐานสูงขึ้นและรองรับลูกค้าระดับโลกยิ่งขึ้น ที่สำคัญจะมีอัตราการทำกำไรค่อนข้างดีมากกว่า 20 %

 

เน้น JV มากขึ้นหวังเสริมจุดแข็งธุรกิจใหม่

เช่นปีที่ผ่านมารูปแบบการลงทุนของ TU ก็จะเปลี่ยนไปในรูปแบบ JV มากขึ้น หรือ “ไมนอริตี้อินเวสเมนท์” มากขึ้นโดยการขยับตัวไปสู่ธุรกิจใหม่ๆที่ไม่ได้มีความชำนาญก็จำเป็นจะต้องมีพันธมิตร เช่น ลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในออสเตรเลีย “บ.โคเมอคอร์ปอเรชั่น” สัดส่วน 10 %  ซึ่งบริษัทเชี่ยวชาญในการผลิต น้ำมัน DHA โอเมกา 3 ในรูปผงก็เพิ่มทางเลือกให้บริษัท และการเข้าลงทุนใน บมจ.อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) สัดส่วน 10 % ซึ่ง RBF เชี่ยวชาญวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาโดยนวัตกรรมขั้นสูง ซึ่งล่าสุดได้ช่วยขยายฐานไปในอินเดียในกลุ่ม “อะแวนติ กรุ๊ป” โดยจัดตั้ง JV ร่วมทุนแห่งใหม่เพื่อทำธุรกิจด้านจัดหาวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมอาหารหรือ ingredient คุณภาพสูงให้กับตลาดในประเทศอินเดีย

 

ด้านการทำ JV กับ “กลุ่มไทยเบฟ” มุ่งเน้นสินค้าใหม่ในกลุ่ม “ฟังก์ชันนัล ดริ้งค์” โดยการนำเอาน้ำนึ่งปลาทูน่าเข็มข้นมาผลิตเป็นเครื่องดื่ม คาดหวังจะต่อยอดผลิตภัณฑ์ของบริษัทกับ “กลุ่มไทยเบฟ” รวมทั้งการบริหารแบรดน์และช่องทางจัดจำหน่ายให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ล่าสุดชื่อ “ZEA Tuna Essence” หรือซุปปลาทูน่าสกัด นั่นเองได้ออกสู่ตลาดเมื่อปลายปี (พ.ย.22) ที่ผ่านมาซึ่งหากประสบความสำเร็จในไทย บริษัทคาดหวังจะขยายไปในภูมิภาคเอเซียนโดยอาศัยจุดแข็งของ “กลุ่มไทยเบฟ”

 

ขณะที่การ JV กับ บมจ.อินเตอร์ฟาร์มา หรือ IP ซึ่งเป็นการนำเอาสินค้าซัพพลีเมนท์ภายใต้แบรนด์ของบริษัท “ซีวิสต้า” โดยอาศัยจุดแข็งของ IP ด้านช่องทางการขายในโรงพยาบาลซึ่งเริ่มดำเนินการแล้วเช่นกัน

 

ลงทุนธุรกิจสตาร์ทอัพ

นอกจากนี้การจัดตั้งกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพเริ่มทำ 3 ปีแล้วนั้น ด้วยตั้งเม็ดเงินลงทุนไว้ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปัจจุบันลงทุนไปแล้ว 10 ล้านดอลล่าร์สหรัฐแล้ว ในธุรกิจเกี่ยวกับ อินเซคโปรตีน หรือโปรตีนจากแมลง หรือ การลงทุนธุรกิจเกี่ยวกับการเพาะเนื้อเยื้อ ให้ออกมาเป็นเนื้อปลาจริงๆ เป็นต้น

 

เล็ง Spin off  “ไอเทล คอร์ปอเรชั่น”เข้าตลาดหลักทรัพยฯปีนี้

 

ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทลูกที่ได้ Spin off ไปเมื่อปีที่ผ่านมาและนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯปลายปีที่ผ่านมาคือ TFM นอกจากนี้ยังเตรียม Spin off อีกบริษัท คือ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้จัดโครงสร้างธุรกิจใหม่ให้ดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 100% ซึ่งมีมาร์จิ้นดี ก็มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในสิ้นปีนี้เช่นกัน

@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp