ดัชนี Global Composite PMI เดือน มี.ค. ปรับตัวลดลงในเดือน มี.ค. จากภาคการผลิตได้ที่ได้รับกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาภายในห่วงโซ่อุปทาน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น และการ Lockdown ในบางพื้นที่ของจีน

36
  • ดัชนี Global Composite PMI ปรับตัวลดลง -0.8 จุด เป็น 52.7 จุด แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ขยายตัว (เหนือ 50 จุด) ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 21 จากทั้งดัชนีภาคบริการ (-0.6, 53.4 จุด) และภาคการผลิตที่ปรับตัวลดลง (-0.7, 53.0 จุด) โดยการชะลอตัวลงเป็นผลมาจาก COVID-19, ปัญหาภายในห่วงโซ่อุปทาน, แรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น และสงครามรัสเซีย-ยูเครน
  • ทั้งนี้ ดัชนีย่อยในส่วนของราคายังคงอยู่ในระดับสูง โดยต้นทุนปัจจัยการผลิตเร่งตัวขึ้น (+2.9, 70.5 จุด) ส่งผลให้ราคาผลผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น (+1.4, 61.4 จุด) โดยการเร่งตัวขึ้นมาจากภาคการผลิตเป็นหลัก
  • ขณะที่รายประเทศ ดัชนี Composite PMI ของสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรและญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้น ขณะที่จีนได้ผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์ Omicron ที่นำไปสู่การ Lockdown ส่วนยูโรโซนได้รับผลจากสงครามรัสเซีย- ยูเครน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
  • สหรัฐฯ: ดัชนีโดย ISM ปรับตัวเพิ่มขึ้น +1.5 จุด เป็น 58.2 จุด จากการเร่งตัวขึ้นในภาคบริการ (+1.8, 58.3 จุด) จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ผ่อนคลายลง ขณะที่ภาคการผลิต (-1.5, 57.1 จุด) ชะลอตัวลง
  • ยูโรโซน: ดัชนีปรับตัวลดลง -0.6 จุด เป็น 54.9 จุด สูงกว่าเลขเบื้องต้นที่ 54.5 จุด จากดัชนีในภาคการผลิตที่ชะลอตัวลง (-1.7, 56.5 จุด) จากสงครามรัสเซีย- ยูเครน รวมถึงการระบาดของ COVID-19 ในจีน ที่กดดันอุปสงค์และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ในขณะที่ภาคบริการเร่งตัวขึ้นเล็กน้อย (+0.1, 55.6 จุด) จากการผ่อนปรนมาตรการป้องกัน COVID-19 โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวที่หนุนภาคบริการ ด้านดัชนีราคาต้นทุนปัจจัยและราคาผลผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์
    • รายประเทศ ดัชนีชะลอตัวลงในเกือบทุกประเทศหลัก สเปน (-3.4, 53.1 จุด) อิตาลี (-1.5, 52.1 จุด)  และเยอรมนี (-0.5, 55.1 จุด) ขณะที่ฝรั่งเศส (+0.8, 56.3 จุด) เร่งตัวขึ้น
  • สหราชอาณาจักร: ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น +1.0 จุด เป็น 60.9 จุด สูงสุดในรอบ 9 เดือน สูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ 59.7 จุด  จากภาคบริการที่ขยายตัว (+2.1, 62.6 จุด) สูงเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ปี 1997 ท่ามกลางการยกเลิกข้อจำกัดด้านโควิด-19 ขณะที่ภาคการผลิตชะลอตัวลง (-2.8, 55.2 จุด) ต่ำสุดในรอบ 13 เดือน จากปัญหาภายในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ทวีความรุนแรงขึ้น และสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน
  • จีน: ดัชนีโดย Caixin ปรับตัวลดลง -6.2 จุด เป็น 43.9 จุด ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2020 จากมาตรการ Lockdown ในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลให้กิจกรรมเศรษฐกิจหดตัวทั้งในภาคการผลิต (-2.3, 48.4) และบริการ (-8.2, 42.0) โดยยอดคำสั่งซื้อใหม่ภายในประเทศต่ำสุดในรอบ 2 ปี ส่วนยอดคำสั่งซื้อภายนอกประเทศยังคงหดตัวต่ำสุดในรอบ 22 เดือน ด้านราคาต้นทุนปัจจัยการผลิตเร่งตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือนจากราคาวัตถุดิบ พลังงาน อาหาร การขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น
  • ญี่ปุ่น: ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น +4.5 จุด เป็น 50.3 จุด และดีกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ 49.3 จุด ทท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ผ่อนคลายลงทำให้มีการยกเลิกสถานการณ์กึ่งฉุกเฉินในทุกพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค.  ส่งผลให้ดัชนีภาคบริการเร่งตัวขึ้น (+5.2, 49.4) ส่วนภาคการผลิตเร่งตัวขึ้นเช่นกัน (+1.4, 54.1) จากผลผลิตที่พลิกกลับมาขยายตัวและยอดคำสั่งซื้อเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้านราคาต้นทุนปัจจัยการผลิตเร่งตัวขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008จากภาวะขาดแคลนวัตถุดิบโดยเฉพาะพลังงาน น้ำมัน และเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งหนุนให้ดัชนีราคาขายเร่งตัวขึ้นสูงอย่างมาก
  • Our take: ดัชนี Composite PMI เดือน มี.ค. ของประเทศในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ปรับตัวสูงขึ้น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของสายพันธุ์ Omicron ที่ดีขึ้น ทำให้กิจกรรมในภาคบริการฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามภาคการผลิตของประเทศหลักส่วนใหญ่ชะลอตัวลงท่ามกลางสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาภายในห่วงโซ่อุปทาน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น และการ Lockdown ในบางพื้นที่ของจีน
  • นอกจากนี้ ดัชนียังคงชี้ให้เห็นถึงต้นทุนปัจจัยการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในหลายประเทศ จากการขาดแคลนปัจจัยการผลิตและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น
  • โดยการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคานับเป็นสิ่งที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนจากแนวโน้มของเงินเฟ้อที่อาจคงอยู่ในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะจากต้นทุนที่ยังอยู่ในระดับสูงและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวเร่งขึ้นมามาก (Cost-push inflation) ซึ่งจะกดดันให้ธนาคารกลางต้องเร่งเพิ่มความเข้มงวดในนโยบายการเงิน โดยเฉพาะ Fed ที่ตลาดคาดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 200bps ในปีนี้ โดยมีการประชุมบางรอบที่อาจขึ้นดอกเบี้ย 50bps (vs. ปกติปรับขึ้น 25bps)

 
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp