“KCC” เคาะราคาขาย “ไอพีโอ” หุ้นละ 3.70 บาท ชู 4 จุดแกร่งโชว์นักลงทุน ก่อนเสนอขายหุ้น “ไอพีโอ” วันที่ 22,25-26 เม.ย.นี้

161


มิติหุ้น – บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ “KCC” เคาะราคาขาย หุ้นไอพีโอหุ้นละ 3.70 บาท พร้อมจัดโรดโชว์ออนไลน์ ชูจุดแกร่งมีผู้บริหารที่เชี่ยวชาญและคร่ำหวอดในธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือ NPLs ยาวนานกว่า 20 ปี พร้อมนำเสนอข้อมูลบริษัทและการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนก่อนจะเสนอขายหุ้นวันที่ 22,25-26 เม.ย.นี้ โดยมี “บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด” เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายหรือ Lead Underwriter ร่วมนำเสนอข้อมูล “KCC” หุ้นที่อยู่ในเทรนด์การเติบโตของอุตสาหกรรม AMC
21 เมษายน 2565:นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ KCC ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย และการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำเสนอข้อมูลการดำเนินธุรกิจ (โรดโชว์) ออนไลน์ ในวันที่ 21 เม.ย.2565 เพื่อให้นักลงทุนได้รับทราบถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจ จุดเด่น และโอกาสการเติบโตของบริษัทในอนาคต ตามภาพรวมของอุตสาหกรรม AMC ที่ยังมีโอกาสโตได้อย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 และภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว โดยประเมินว่าสถาบันการเงินมีแนวโน้มที่จะนำสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (“NPLs”) ออกมาเปิดประมูลขายในปริมาณที่เพิ่มขึ้นและหากดูตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุดพบว่า NPLs ทั้งระบบมีกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อุตสาหกรรม AMC ยังมีการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีนี้
“KCC อยู่ในธุรกิจ AMC มานานกว่า 20 ปี เรามีความเชี่ยวชาญในการซื้อหนี้ โดยเฉพาะลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจที่มีสัดส่วนกว่า 60.22% และลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย 39.78% ของเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิและในทุกๆ ขั้นตอนของการเข้าไปซื้อหรือประมูล NPLs จะดำเนินการอย่างรอบคอบเพราะ “ราคา”ของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่จะได้มาคือประเด็นสำคัญมาก เพราะถ้าหากเราซื้อผิดราคาก็จะส่งผลให้ผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ “ราคา” จึงเป็นหัวใจของการเข้าซื้อหรือเข้าประมูลหนี้และทุกๆ ครั้งของการเข้าไปซื้อหนี้ บริษัทฯ จะตั้งทีมเพื่อเข้าไปทำ Due Diligence เพื่อทำการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลลูกหนี้ ให้ครอบคลุมทุกๆ ด้าน รวมถึงการจัดทำประมาณการกระแสเงินสดสุทธิที่คาดว่าจะได้รับจากลูกหนี้ในอนาคต เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดราคาซื้อที่เหมาะสมให้ได้ผลตอบแทนเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้” นายทวี กล่าว
ทั้งนี้ KCC อยู่ระหว่างเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.81% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายครั้งนี้มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 230 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 460 ล้านหุ้น หลังเพิ่มทุนเพื่อขายไอพีโอ บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 310 ล้านบาท หรือ 620 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นไอพีโอ ในวันที่ 22, 25-26 เม.ย.นี้ และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน ในระยะถัดไป
นายทวี กล่าวเพิ่มเติมว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนประมาณ 592 ล้านบาท บริษัทมีวัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ โดยจะนำไปใช้ในการจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย นำไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และ/หรือชำระหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดที่ออกโดยบริษัทฯ และ/หรือภาระหนี้สินอื่นใดของบริษัทฯ รวมถึงเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทและเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต
“การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai ครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีศักยภาพในการเข้าประมูลหนี้ NPLs จากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นจากฐานทุนที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งตามแผนปีนี้บริษัทจะลงทุนเพิ่มประมาณ 800 ล้านบาท จากสิ้นปี 2564 บริษัทฯ มีพอร์ตหนี้ NPLs ที่ 565.57 ล้านบาท ส่วนอนาคตนักลงทุนที่จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นซึ่ง KCC จะเป็นทั้งหุ้นเติบโตและหุ้นปันผลโดยบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ” นายทวี กล่าว
นางสุพัตรา ภู่พัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหรือ Lead Underwriter บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ KCC กล่าวว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ “KCC” ที่ระดับราคา 3.70 บาทต่อหุ้น ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV) ที่ 5.00 เท่า โดยคำนวณจากมูลค่าทางบัญชีสุทธิสิ้นสุดปี 2564 ของบริษัทฯ ซึ่งเท่ากับ 460.61 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้เท่ากับ 620 ล้านหุ้น จะได้มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเท่ากับ 0.74 บาท ทั้งนี้ อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV) ดังกล่าว คำนวณจากผลประกอบการในอดีต โดยยังมิได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่นักลงทุนควรพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการลงทุน
ทั้งนี้ KCC จะเปิดให้ประชาชนจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 22, 25-26 เม.ย.นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ประมาณต้นเดือนพ.ค.ในหมวดกลุ่มธุรกิจการเงิน โดยใช้ชื่อย่อ “KCC” ซึ่งเชื่อว่าการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก
ด้าน นายวัชรินทร์ เลิศสุวรรณกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ KCC กล่าวว่า KCC เป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรม AMC มีโอกาสเติบโตและเป็นธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์อนาคต จากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งหากดูโครงสร้างผู้ถือหุ้นและทีมผู้บริหาร ทั้งนายสุชาติ บุญบรรเจิดศรีและนายทวี กุลเลิศประเสริฐ ถือว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์และคร่ำหวอดในธุรกิจบริหารหนี้และธุรกิจการเงินมากว่า 20 ปี จะเป็นปัจจัยสำคัญสนับสนุนให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตได้ต่อเนื่อง
“หุ้นไอพีโอของ KCC ธุรกิจของ KCC มีโอกาสเติบโตได้ดีในอนาคต และเป็นบริษัทที่มีจุดแข็งแกร่งดังนี้
(1) ผู้บริหารมีความชำนาญในธุรกิจบริหารหนี้โดยเฉพาะ คุณสุชาติ บุญบรรเจิดศรี ผู้ถือหุ้นใหญ่ ปัจจุบันถือหุ้นกว่า 61% คืออดีตผู้บริหารสถาบันการเงิน เป็นผู้เข้าไปมีส่วนร่วมในประมูลหนี้ ปรส.ซึ่งเป็นองค์กรบริหารหนี้ของสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการเมื่อวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปี 40-41 และปัจจุบันเป็นนายกสมาคมบริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ส่วนคุณทวี ซึ่งปัจจุบันถือหุ้น 30% ก็เป็นผู้บริหารในสถาบันการเงินและอยู่ในแวดวงของการบริหารหนี้มานานเกินกว่า 20 ปี อีกทั้งยังเป็นที่ปรึกษาในการซื้อหนี้ให้กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งซึ่งถือได้ว่าเป็นทีมผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ ในธุรกิจ AMC
(2) เป็นบริษัทที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับ 89% ซึ่งถือว่าสูงกว่าบริษัทในอุตสาหกรรมธุรกิจ AMC
(3) KCC มีความถนัดในการบริหารหนี้สินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นหนี้ก้อนใหญ่ใช้บุคลากรไม่เยอะสามารถควบคุมต้นทุนได้และอนาคตมีโอกาสเติบโตจากเม็ดเงินที่ได้การระดมทุนที่จะนำไปซื้อหนี้หนุนให้พอร์ตเติบโตขึ้นจากปัจจุบันบริษัทบริหารพอร์ตหนี้อยู่ประมาณ 565.57 ล้านบาท
(4) เป็นบริษัทที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.63 เท่า มีความสามารถที่จะหาแหล่งเงินเพื่อสนับสนุนการเติบโตได้อีกและมีเป้าหมายไม่ให้เกิน 2 เท่า ขณะที่ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ROE เติบโตต่อเนื่องและอยู่ที่ 12.06% ส่วนอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ 37.08% ซึ่งสูงกว่าบริษัทในอุตสาหกรรม” นายวัชรินทร์ กล่าว
นอกจากนี้หากดูผลดำเนินงานย้อนหลังของบริษัทฯ พบว่ารายได้และกำไรเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี โดยผลประกอบการช่วงปี 2562-2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงาน 57.10 ล้านบาท 128.10 ล้านบาทและ125.75 ล้านบาท ตามลำดับและมีกำไรสุทธิเท่ากับ 12.03 ล้านบาท 49.06 ล้านบาท และ52.42 ล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้ KCC จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2543 ซึ่ง ณ วันก่อตั้ง ใช้ชื่อบริษัทฯ ว่า บริษัท ริชชี่ แคปปิตอล อัลลายแอนซ์ จำกัด และในปี 2547 จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ไนท คลับแคปปิตอล จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในด้านการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และในปี 2556 บริษัทฯได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์จากธนาคารแห่งประเทศไทย และได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการครอบคลุมธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ รวมถึงบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายและการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย
 
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp