FPI ท็อปฟอร์ม Q1/65 โชว์กำไรพุ่งฉิว 83% ปรับราคาสินค้าเพิ่ม-คุมต้นทุนดีเยี่ยม-ประสิทธิภาพผลิตดีขึ้น ลั่นผลงานปีนี้โตแรง 10% แตะออลไทม์ไฮ

152

มิติหุ้น  –  นายสมพล  ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส1/2565 งบการเงินรวมของบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 105.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.6% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิเท่ากับ 57.3 ล้านบาท

ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 594 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 28 %จากงวดเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 464 ล้านบาทโดยมีรายได้จากการขายและบริการของปี 2565 เป็นเงิน 578.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.1%จากงวดเดียวกันของปีก่อน

สาเหตุหลักที่ทำให้กำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากยอดขายที่สูงขึ้นทำให้มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ประกอบกับทางบริษัทมีการจัดการที่ดีขึ้นทั้งการปรับขึ้นราคาสินค้า, ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นจากฝ่ายผลิต, และการสูญเสียจากการผลิตลดลง ตลอดจนบริษัทสามารถจัดหาตู้คอนเทนเนอร์เพื่อส่งออกสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับต้นทุนค่าระวางเรือที่เริ่มมีราคาลดลงทำให้ไม่มีอุปสรรคในการขนส่งสินค้า โดยในโซนเอเชียและตะวันออกกลางมีการเติบโตของยอดขายจาก 219.5 ล้านบาทเป็น 315.3 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน บริษัทฯสามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้ 5-10% เนื่องราคาวัตถุดิบทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องรวมทั้งสามารถทำสัญญาซื้อวัตถุดิบ (โดยเฉพาะเม็ดพลาสติก, เคมีภัณฑ์, และสี) และสินค้าซื้อมาขายไปและตกลงราคาล่วงหน้าเป็นเวลา 6-12 เดือน รวมทั้งบริษัทลูกที่ประเทศอินเดีย มียอดขายในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 อยู่ที่ 36 ล้านรูปีเพิ่มขึ้น 91.3%

“ในไตรมาส1/2565ภาพรวมของธุรกิจมีทิศทางที่ดีมาก เพราะมีออเดอร์เข้ามาต่อเนื่อง และสามารถส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้ตามกำหนด นอกจากนี้ค่าระวางเรือ หรือค่าเฟดปรับตัวลดลง เป็นผลดีให้กับบริษัท สำหรับแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส2/65 บริษัทฯประเมินว่ายังคงสามารถรักษาการเติบโตได้ดี เนื่องจากปัจจุบันมีออเดอร์มีจำนวนเพิ่มขึ้น รวมถึงเดินเครื่องเต็ม 24 ชั่วโมง  โดยสำหรับกำลังผลิต หรือ Capacity ปัจจุบัน ในส่วนของไลน์ฉีด มีขีดความสามารถแตะที่ระดับ 80% ส่วนไลน์พ่นสียังคงมีความสามารถในการผลิตได้อย่างต่อเนือง  เนื่องจากก่อนหน้านี้ ทางบริษัทฯ ได้มีการสั่งเครื่องจักรในส่วนของไลน์พ่นสีเข้ามาใหม่   นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะติดตั้งและเดินเครื่องจักรใหม่อีก เพื่อรองรับการผลิตสินค้าให้ทันกับออเดอร์ใหม่ที่มีเข้ามา”นายสมพลกล่าว

ขณะที่บริษัทฯมีออเดอร์รอส่งมอบ (backlog) อยู่ที่ประมาณ 800 ล้าน โดยธุรกิจในอินเดีย เริ่มมีทิศทางชัดเจนมากขึ้น ล่าสุดได้รับออเดอร์ผลิตชิ้นส่วนมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหรือ EV เพิ่มขึ้น ดังนั้นทำให้มั่นใจว่าจะสนับสนุนให้ผลงานในปี 2565จะมีการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ระดับ 10% และสามารถทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ เพื่อขยายธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV เนื่องจากกระแสของ EV กำลังมาแรง ซึ่งอาจพิจารณาร่วมมือกันพันธมิตรต่างประเทศ ที่มีเทคโนโลยีรองรับอยู่แล้ว คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในสิ้นปีนี้

@mitihoonwealth

https://lin.ee/cXAf0Dp