มิติหุ้น- บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) เผยถึงกำไรสุทธิของบจ.ในงวด Q1/65 อยู่ที่ 2.85 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% QoQ และ 7% YoY อิงจากประมาณการของเราพบว่า 40% ออกมาดีกว่าคาด และ 19% ออกมาแย่กว่าคาด กลุ่มที่ Consensus ปรับประมาณการขึ้นส่วนใหญ่คือ Reopening Play
อย่างไรก็ตาม ได้ปรับประมาณการ EPS ปีนี้ ลง 4% จากคาดการณ์เดิม 92 บาทต่อหุ้น เหลือ 88 บาทต่อหุ้น โต 5% YoY เนื่องจากกังวลกำลังซื้อถูกบั่นทอนจากเงินเฟ้อ ต้นทุนภาคการผลิตที่เร่งตัวตามราคาพลังงงานและการเพิ่มขึ้นของ Bond Yield ที่อาจกระทบต่อต้นทุนทางการเงินระยะถัดไป
ส่งผลให้เป้าดัชนีปีนี้ที่ถูกปรับลดลงเหลือ 1,650 จุด จาก 1,720 จุด คาดกรอบด้านล่างที่ 1,510-1,590 จุด และกรอบด้านบนที่ 1,700-1,720 จุด กรณีภาคการท่องเที่ยวฟื้นเร็วกว่าคาด และยุบสภาเลือกตั้งใหม่ คาดว่าจะส่งผลให้เกิด Election rally ขึ้นในQ4/65
” กำไรสุทธิ Q1/65 ของ SET Index ออกมาดีตามคาด” ได้แรงหนุนจาก
1) กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ตามราคาขายที่สูงขึ้น ทั้งราคาน้ำมัน, ก๊าซธรรมชาติ, ถ่านหิน, ค่าการกลั่น รวมถึงปริมาณตามความต้องการใช้น้ำมันในประเทศที่ฟื้นตัว
2) กลุ่มธนาคาร ตั้งสำรองน้อยลง, ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง, และสินเชื่อขยายตัวดี
3) กลุ่มการแพทย์ ขยายตัวสูง YoY จากการระบาดของ Omicron ที่หนุนกลุ่มรับประกันสังคม และการคลาย Lockdown ช่วงปลายไตรมาสเพื่อเปิดรับผู้ป่วยต่างชาติ หนุนหุ้นใหญ่ในกลุ่มทั้ง BDMS และ BH
ในทางกลับกัน กลุ่มรับเหมาก่อสร้างเป็นกลุ่มที่น่าผิดหวัง จากรายได้ลดลงเพราะความล่าช้าในการประมูลงานของภาครัฐ กอปรกับ ต้นทุนที่ปรับตัวขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก นอกจากนี้ กลุ่มไฟแนนซ์ ก็เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว จาก Asset Yield ที่อ่อนตัวลง และอยู่ในช่วงของการจัดการต้นทุน เพื่อให้สอดรับกับต้นทุนทางการเงินที่กำลังเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น
โดยเมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของเราทำการ Preview ทั้ง 70 บริษัท โดยใช้เกณฑ์ +/- 10% จากคาดการณ์เป็นจุดแบ่งว่าออกมาดีหรือแย่กว่าคาด พบว่า 40%(28บริษัท) ผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด, 41%(29บริษัท) ออกมาใกล้เคียงกับที่เราคาด และมีเพียง 19% ที่แย่กว่าเราคาด(13บริษัท)
” แนวโน้ม Q2/65 มีแนวโน้มชะลอทั้ง QoQ และ YoY ”
ในภาวะปกติ ผลประกอบการไตรมาส 2 ของทุกปีจะชะลอ QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลที่เป็น Low Season ของหลายธุรกิจ ขณะที่ ปีนี้กลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นภาคการผลิต (35% ของ Market Cap. ทั้งตลาด) จะถูกกระทบจากแรงกดดันด้านต้นทุนมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่พลังงานต้นน้ำ (10% ของ Market Cap. ทั้งตลาด) ที่เด่นมากใน Q1/65 จะเด่นน้อยลง เพราะกำไรสต็อกลดลงตามทิศทางราคาพลังงานที่เริ่มทรงตัว เมื่อผนวกกับ ฐานกำไรสุทธิ Q2/64 อยู่ในระดับสูง 2.71 แสนล้านบาท จึงเป็นไปได้ที่กำไรสุทธิ Q2/65 จะชะลอตัว YoY ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ประมาณการกำไรสุทธิเดิมของเราที่ 92 บาทต่อหุ้น +8% YoY มี Downside มากขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิ 2Q65 จะเป็นระดับต่ำสุดของปี
.
@mitihoonwealth