มิติหุ้น – ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินทิศทางเศรษฐกิจ จากแผนการเปิดประเทศและสถานการณ์โควิดที่คลี่คลายลง หนุนการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวมากกว่าที่คาดไว้เดิม และมีอานิสงส์ต่อเนื่องมายังการปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีสำหรับทั้งปี 2565 เป็น 2.9%
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า แม้ไทยจะมีแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ลดลงหลังสิ้นสุดหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กอปรกับมีการขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นตามการนำเข้าพลังงาน แต่เมื่อรวมผลจากจีดีพีไตรมาส 1/2565 ที่ออกมาดีกว่าที่คาด มุมมองการบริโภคภาคเอกชนที่ดีกว่าที่เคยประเมินเล็กน้อย รวมถึงแรงหนุนสำคัญจากรายได้นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีสำหรับทั้งปี 2565 จาก 2.5% มาอยู่ 2.9%
โดยนางสาว เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่าศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 4.0 ล้านคน มาเป็น 7.2 ล้านคน ซึ่งทำให้มีรายได้ท่องเที่ยวจากทั้งต่างชาติเที่ยวไทยและไทยเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นมาที่ 1.1 ล้านล้านบาท แม้ว่าจะยังห่างจากช่วงก่อนโควิดที่ทำได้ถึงราว 3 ล้านล้านบาทก็ตาม
อย่างไรก็ตาม นางสาวณัฐพร กล่าวต่อว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามยังเป็นเรื่องเงินเฟ้อที่คงจะเข้าหาระดับสูงสุดในไตรมาส 3/2565 ซึ่งทำให้ กนง.อาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าหาระดับ 1.0% ภายในสิ้นปีนี้ เทียบกับ 0.5% ในปัจจุบัน ท่ามกลางภาวะที่เฟดคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง แต่คาดว่าแบงก์ไทยจะยังไม่ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของฝั่งเงินฝากและเงินกู้ตามในทันที โดยคงเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยสำหรับเฉพาะบางผลิตภัณฑ์มากกว่า เนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินยังอยู่ในระดับสูงและยังมีโจทย์ในการช่วยเหลือลูกค้าให้ก้าวข้ามช่วงของการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ ส่วนเงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่าเข้าหาระดับ 36.0 บาทต่อดอลลาร์ฯ ภายในระยะเวลา 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ตามปัจจัยเศรษฐกิจและดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ยังหนุนเงินดอลลาร์ฯ และมีการปรับตัวผ่านเงินทุนไหลออกจากตลาดทุนไทยบางส่วน กระนั้นก็ดี ไทยยังไม่ต้องห่วงผลกระทบต่อความมั่นคงของระดับทุนสำรองระหว่างประเทศ เนื่องจากยังอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับภาระหนี้ต่างประเทศระยะสั้น การนำเข้า 3 เดือน และหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรออกใช้ได้กว่า 1.2 เท่า
สำหรับประเด็นวิกฤตความมั่นคงทางอาหารนั้น นางสาวเกวลิน มองว่า ในขณะนี้ ไทยมีความเสี่ยงต่อภาวะความตึงตัวของผลผลิตอาหาร ซึ่งยังไม่ใช่วิกฤตด้านอาหารดังที่ปรากฏขึ้นในหลายประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากเกษตรกรและผู้ผลิตอาหารไทยเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนปัจจัยการผลิตที่แพงขึ้นซึ่งอาจกระทบผลผลิต ประกอบกับความต้องการและราคาอาหารโลกเพิ่มขึ้น หนุนการส่งออกในบางรายการ ดังนั้น ราคาอาหารไทยอาจปรับขึ้นในครึ่งหลังปีนี้และมีแนวโน้มยืนสูงต่อไปอีกอย่างน้อยจนถึงช่วงกลางปีหน้า โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม ข้าว และเนื้อหมู ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบยังมีโจทย์ในด้านการบริหารจัดการต้นทุน เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลฐานะรายรับรายจ่ายและใช้สอยอย่างรอบคอบต่อเนื่อง
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp