บล.ดีบีเอสหั่นเป้าดัชนีปีนี้เหลือ 1680 จุด แนะปรับพอร์ตตั้งรับวิกฤต-เปิดโผธีมลงทุนไตรมาส3/65

81

มิติหุ้น  –  บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส  หั่นเป้าดัชนีปี 2565 เหลือแค่ระดับ 1680 จุด ชี้ตลาดหุ้นผันผวนหนัก รับผลกระทบเงินเฟ้อสูงเป็นภัยคุกคามกดดันดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก ฉุดเศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย  แนะปรับพอร์ตตั้งรับวิฤต เปิดโผธีมลงทุนไตรมาส3/2565 ธีม“เปิดเมือง-เฮลท์แคร์-พลังงาน-EV-แบงก์” โดดเด่น ขณะที่หุ้นต่างประเทศยก จีน-ญี่ปุ่น น่าสนใจ จากนโยบายรัฐเดินหน้าหนุนเศรษฐกิจ และค่าเงินเยนอ่อน พร้อมเตือนปัจจัยเสี่ยงมาจากค่าเงินที่ผันผวน -การเมืองระหว่างประเทศ-นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล-เทคโนโลยี

 

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)  จัดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ”ปรับพอร์ต รับวิกฤตหุ้นครึ่งปีหลัง”  โดย นายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อํานวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ  บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในไตรมาส 3/2565 ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อสูงจะยังคงเป็นภัยคุมคามการลงทุนอยู่ ซึ่งจะหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อจนกว่าจะเห็นปัญหา ซัพพลายเชน ดีสรัปชั่น(Supply Chain Disruption) และสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศคลี่คลาย

ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยบล.ดีบีเอส ได้มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจหรือจีดีพี ในปี 2565 ใหม่ โดยปรับลดแนวโน้มจีดีพี ประเทศสหรัฐอเมริกาลงเหลือ 2.5% จากเดิม 3% จีดีพีประเทศในยุโรปเหลือ 1.4% จาก 3% จีดีพีจีน เหลือ 4.8% จาก 5.3% ญี่ปุ่นเหลือ 1.6% จาก 2.2% ส่วนประเทศไทยคงคาดการณ์จีดีพีเติบโตเท่าเดิมที่ 3.5% “การปรับลดจีดีพีเป็นผลมาจากเราเห็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจจะถดถอยกำลังแรงขึ้น สะท้อนจากส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐรุ่น 10 ปี และ 2 ปี เริ่มกลับมาใกล้ติดลบ ซึ่งบลูมเบิร์ก ได้ทำโมเดลคาดการณ์ชี้ว่าโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยถึง 98% ในระยะ 24 เดือนข้างหน้า แนวโน้มเศรษฐกิจและแนวโน้มการบริโภคทั่วโลก ถูกฉุดด้วยนโยบายเข้มงวดทั้งการเงิน – การคลัง รวมทั้งยังต้องจับตาจีนว่าจะผ่อนคลายนโยบายโควิดในเร็วๆนี้หรือไม่” นายธนวัฒน์ กล่าว

สำหรับแนวโน้มการลงทุน ในไตรมาส3/2565 ฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส ยังคงแนะนำเพิ่มน้ำหนักในหุ้นจีนและญี่ปุ่น เนื่องจากมองว่าหุ้นทั้งสองประเทศนี้มีความโดดเด่นและน่าสนใจ โดย ฝ่ายวิจัยได้ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 เพราะผู้นำจีนประกาศแนวนโยบายหนุนเศรษฐกิจอย่างชัดเจน และในไตรมาส3/2565 แนะนำให้ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นญี่ปุ่นด้วย เนื่องจากมองว่าหุ้นญี่ปุ่นมักจะ outperform เมื่อค่าเงินเยนอ่อน “เรายังคงแนะนักลงทุนจัดพอร์ต โดยเน้นหุ้นคุณภาพ มีการกระจายรายได้ที่ดีทั้งด้านผลิตภัณฑ์และภูมิภาค ซึ่งเรายังชื่นชอบหุ้นจีน เพราะคาดผลตอบแทนคุ้มค่าความเสี่ยง รวมทั้งหุ้นญี่ปุ่น ส่วนหุ้นยุโรปเราแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุน”นายธนวัฒน์ กล่าว

ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ แนะนำกลุ่มที่มีเรทติ้งระดับ A/BBB และมีอายุตราสารไม่ยาวนักอยู่ที่ประมาณ 3-5 ปี โดยให้ลดน้ำหนักหุ้นกู้ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เพราะมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงหรือความเสี่ยงในการลงทุนช่วงไตรมาส 3 ปีนี้  จะมาจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล การเมืองระหว่างประเทศ เทคโนโลยี สภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม การลงทุนในอุตสาหกรรมเฉพาะมีความเสี่ยงสูงกว่าตลาดโดยรวม

ด้านนางสาวอาภาภรณ์  แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์  บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)   กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ตลาดหุ้นผันผวน ฝ่ายวิจัย ได้ปรับลดเป้าหมายดัชนีหุ้นปีนี้ลดลงเหลือที่ระดับ1680 จุด จากเดิมที่บริษัทตั้งเป้าหมายดัชนีปีนี้อยู่ที่ระดับ 1800 จุด

การปรับลดเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นในปีนี้ลง เนื่องจากมองว่าตลาดยังมีความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อสูง และวิตกกังวลว่าอาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาห่วงโซ่อุปทาน สงครามรัสเซีย-ยูเครน  ที่ทำให้ราคาพลังงาน ธัญพืชและอาหารสูงขึ้น นอกจากนี้ตลาดยังมีความกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจและรายย่อย ภายใต้เศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง

อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยพยุงจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการส่งออกที่ยังเติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งประเทศไทยยังมีความมั่นคงทางอาหารสูง

สำหรับปัญหาเงินเฟ้อ ประเมินว่าในช่วงไตรมาส 4/2565 มีโอกาสชะลอตัวลง หากราคาน้ำมันดิบไม่ได้พุ่งแรง   โดยอัตราเงินเฟ้อของไทยเดือนพฤษภาคม 2565 ถือว่าเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบกว่า 10 ปี  ขณะที่เงินเฟ้อของสหรัฐฯทำสถิติสูงสุดในรอบ 40 ปี  ซึ่งเงินเฟ้อสูงรอบนี้มาจาก  Cost Push ตัวหลักคือ ราคาพลังงาน ดังนั้นถ้าราคาพลังงานไม่ถอยลง อัตราเงินเฟ้อก็จะลดลงไม่ได้

ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจจะมีการปรับเพิ่มดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.75% ในการประชุมรอบต่อไป 26-27 กรกฎาคม นี้  และคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีโอกาสเริ่มปรับเพิ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในครึ่งปีหลังของปี 2565

ปัจจัยที่ควรระวัง คือ เม็ดเงินไหลออกจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐและไทยที่จะกว้างขึ้นเรื่อยๆ โดยในสิ้นปี 2565 อาจเห็น Gap ที่สูงถึง 2.25% ซึ่งประเด็นนี้ผนวกกับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ประเมินไว้ว่าปีนี้จะอยู่ที่ 7-8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจะทำให้เงินบาทยังคงอ่อนค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยถดถอย ในขณะนี้เรามองว่ายังมีความเสี่ยงน้อย แต่มีโอกาสที่จะฟื้นตัวและเติบโตน้อยกว่าที่คาดการณ์กันเอาไว้ 0.2-0.3%

กลยุทธ์การลงทุน  ฝ่ายวิจัยของบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ฯแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นที่ธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุด และมีแนวโน้มฟื้นตัวและมี Upside สูง โดยธีมการลงทุนในไตรมาส 3/2565 ประกอบด้วย หุ้นธีมเปิดเมือง (Reopening)  ธีมหุ้น Defensive  ธีมหุ้น EV  ธีม Healthcare ธีมดอกเบี้ยขาขึ้น  และธีมปันผลสูง

ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา  ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส   กล่าวว่า จากปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้การเลือกหลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากธีมการลงทุนไตรมาส 3/2565  ในช่วงที่น้ำมันดิบผันผวนด้านอุปทาน  จากการแซงชั่นรัสเซีย กรณีสงครามรัสเซีย – ยูเครน ทำให้น้ำมันขึ้นราคา  ซึ่งจะส่งผลดีกับอุตสาหกรรมต้นน้ำเช่นPTTEP ,PTT หุ้นโรงกลั่น เช่นBCP,TOP,ESSO,SPRC   และหากน้ำมันลดราคาลง ตามเศรษฐกิจโลกชะลอจะเป็นผลดีกับอุตสาหกรรมที่นำน้ำมันหรือก๊าซไปใช้เป็นเชื้อเพลิง หรือที่เรียกว่า Anti Commodity เช่นหุ้น  SCC, BGRIM, GPSC, SCGP, CBG ,OSP, AAV, BA, EPG

ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยกำลังเป็นขาขึ้น   หลักทรัพย์ได้ประโยชน์เป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่ไม่ได้ทำธุรกิจเช่าซื้อ เช่น KBANK, BBL, TTB  ส่วนหุ้นที่ได้รับผลกระทบทางลบจะเกี่ยวกับการทำไฟแนนซ์  ธุรกิจเช่าซื้อ  เช่น KKP, TISCO, SAWAD, MTC

อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังโดดเด่นด้านการฟื้นตัวจากการเปิดเมือง  โดยเฉพาะการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน  หากการท่องเที่ยวไทยฟื้น  จะสามารถทดแทนการส่งออกที่ชะลอลงตามเศรษฐกิจโลก   ส่วนหุ้นได้รับผลดีจาการเปิดเมือง เช่น หุ้นสนามบิน  AOT  หุ้นสายการบิน AAV, BA หุ้นโรงแรม ERW , CENTEL, MINT, SHR  หุ้นศูนย์การค้า CPN, CRC  หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ที่เน้นลูกค้าต่างประเทศ ได้แก่ BH, BDMS, BCH

หลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากจีนซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่  ด้านการลงทุนกลุ่มที่ดิน มีกิจกรรมการขาย &โอน  เช่น  กลุ่มการลงทุน มี  AMATA, WHA, ROJNA กลุ่มอสังหาฯ  มี AP, NOBLE, ORI, SC

นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ผลกระทบจากเงินบาทที่อ่อนค่าสุดในรอบ 5 ปี  ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศยังไม่ปรับขึ้น ไม่จูงใจนักลงทุนต่างประเทศ  ให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย  ค่าเงินบาท จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการไหลออกของ  Fund Flow  ขณะเดียวกันการที่ค่าเงินบาทอ่อนจะส่งผลดีต่อการส่งออก  ส่วนการนำเข้ามีต้นทุนสูงขึ้น  โดยเฉพาะการนำเข้าที่ส่งผลกระทบวงกว้าง  เช่น น้ำมัน เครื่องจักร

อย่างไรก็ตามหลักทรัพย์กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์  จะได้รับผลกระทบ ด้านอุปสงค์ลด และมีปัญหา Supply Chain Disruption แต่การส่งออกอาหาร  ได้ประโยชน์  จากราคาสินค้าส่งออกสูงขึ้น  และกลุ่มอาหาร ได้ประโยชน์จากภาวะสงคราม เช่น  ASIAN, CFRESH, GFPT, TU

“หากรัฐบาลกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้า โครงการขนาดใหญ่ กลุ่มหลักทรัพย์ผู้รับเหมาก่อสร้าง จะได้ประโยชน์ หุ้นเด่นคือ CK  กระตุ้นเศรษฐกิจโครงการ EEC กลุ่มนิคมก็จะได้ประโยชน์  ส่วนกรณีที่ภาครัฐแทรกแซงภาคเอกชน เพื่อบรรเทาภาระภาคประชาชน ช่วยพยุงราคาดีเซล  ในกองทุนน้ำมันติดลบถึงระดับแสนล้าน โดยขอความร่วมมือโรงกลั่นน้ำมันแบ่งกำไรส่งเข้ากองทุนน้ำมัน  ราคาหุ้น TOP, ESSO, BCP, SPRC  และ โรงแยกก๊าซ PTT จึงมีความผันผวนสูง ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาราคาหุ้นลงมารับข่าวส่วนหนึ่งไปแล้วก็ตาม” นายสมบัติกล่าว

นายสมนึก จันทร์รัสมี ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า ภาพดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในระยะกลาง มีความชัดเจนในโครงสร้างขาลง ที่ไม่น่าจะเปลี่ยนทิศทางในช่วงเวลาอันใกล้นี้ได้ ดังนั้นจึงมีทิศทางการปรับตัวลงเป็นหลัก และหากจะมีการปรับขึ้นจะเป็นแค่การรีบาวน์ทางเทคนิคสั้นๆ แล้วลงต่อ

ส่วนภาพระยะสั้นดัชนีตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาอ่อนตัวลงแรงกว่า 100 จุด แม้จะทำให้ดูเหมือนจูงใจให้เกิดแรงซื้อที่จะดึงให้ตลาดมีโอกาสเปลี่ยนทิศทางกลับเป็นขาขึ้นได้ โดยอาศัยสัญญาณ Oversold หนุน แต่เมื่อประเมินจากภาพรวมแล้ว ตลาดน่าจะมีทิศทางปรับตัวลงก่อนแล้วจึงจะเปลี่ยนทิศทางตามมาได้ โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 1500 ,1450 หรือ 1400 จุด

สำหรับกลยุทธ์การเก็งกำไร กรณีดัชนีสูงกว่า 1600 จุด ให้เน้นซื้อค่าบวก เพื่อลุ้นหรือรอขายที่แนวต้านระดับ 1620-1650 จุด แต่หากดัชนีต่ำกว่า 1600 จุด เน้นซื้ออ่อนตัว ที่ 1500,1450 หรือ 1400 จุด เพื่อลุ้นและรอขายเมื่อมีการปรับขึ้น

นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)  กล่าวว่า ไตรมาส 3/2565  หุ้นในกลุ่ม SET50 ในทางเทคนิค หากการขึ้นยังไม่สามารถยืนเหนือ 967-975 หรือ 995 ไม่ได้ ให้ระวังกลับมา 930 และการหลุดต่ำกว่า จะปรับตัวลงต่อเนื่องในไตรมาส3/2565 นี้ และสอดคล้องกับไตรมาสก่อนที่ประเมินว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการลงในระยะกลาง

เชิงปัจจัยประเด็นหลักหากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ลงจะเป็นความเสี่ยงให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยแรงอีก แต่มีข้อดีคือ ตอนนี้ตลาดพันธบัตรเริ่มรับรู้ว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยไปที่

3.4-3.8% ในช่วง 2 ปีนี้แล้ว แต่ความเสี่ยงหลักไม่ใช่เศรษฐกิจสหรัฐฯแต่เป็นเศรษฐกิจยุโรปและตลาดเกิดใหม่ซึ่งได้รับผลกระทบจากเงินทุนไหลออกและเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวจากโควิด ราคาน้ำมันที่สูงค่าเงินที่อ่อน จะยิ่งทำให้เงินเฟ้อสูง เสี่ยงวิกฤต ซึ่งตลาดยังไม่ค่อยพูดถึงและรับรู้นัก

ส่วนราคาทองคำ ยังแกว่งตัวในกรอบ คาดว่าเป็นการแกว่งตัวในกรอบ กรอบบน 1850/1880 กรอบล่าง 1780/1750 ทองคำยังคงถูกกดดันจากเรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็ว แม้ว่าอาจจะมีแรงซื้อเข้ามาเป็นระยะๆ หากมีความเสี่ยงเรื่องสงคราม และเศรษฐกิจเข้ามาเป็นระยะๆ ขณะที่ค่าเงินบาท การขึ้นทดสอบ 35.8-36/36.5 จะยังไม่ผ่านในครั้งแรกที่ทดสอบ ระวังการพักฐานกลับมาแข็งค่าที่มีนัยสำคัญ หลังจบการประชุมเฟด 26-27 ก.ค. นี้

@mitihoonwealth

https://lin.ee/cXAf0Dp