“สิวารมณ์”ปักหมุดโครงการใหม่โซนบางปู  “สิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2” (สุขุมวิท-บางปู 83) รับดีมานด์ฟื้นตัว ชูจุดเด่นแบบบ้าน-ฟังก์ชัน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ภายใต้แนวคิด “Best Smart Living”

61

มิติหุ้น – บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท “SVR” ประกาศเดินหน้าตอกย้ำหนึ่งในผู้นำพัฒนาอสังหาฯโซนบางปู ล่าสุดเปิดตัวโครงการ “สิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2 (สุขุมวิท-บางปู 83)”  เอาใจคนรักบ้านสไตล์ Modern English Victorian มูลค่า 214 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “Best Smart Living” รับดีมานด์ฟื้นตัว มั่นใจปั้นยอดพรีเซล แตะ 130 ล้านบาท

นายอรรถปวิทย์ มโนธรรมรักษา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ (“SVR”) ผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ทั้งทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตสูง เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการตอกย้ำการเป็นหนึ่งในผู้นำด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โซนบางปู ล่าสุดบริษัทฯได้พรีเซลโครงการ สิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2 (สุขุมวิท-บางปู 83) ในแบบบ้านสไตล์ Modern English Victorian มูลค่าโครงการ 214 ล้านบาท อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2-3 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อรองรับดีมานด์กลุ่มผู้อยู่อาศัยโซน สุขุมวิท-บางปู และบริเวณใกล้เคียง ที่มีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “Best Smart Living” บ้านที่ครบทุกความต้องการ กับพื้นที่ใช้สอยที่เลือกได้อย่างอิสระ

สำหรับโครงการ สิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2 (สุขุมวิท-บางปู 83) เป็นโครงการบ้านแฝด 2 ชั้น รวมจำนวน 40 ยูนิต บนที่ดิน 6 ไร่ 78 ตารางวา โดยแบบบ้านให้เลือก 2 Type ได้แก่ Type S ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และ 2 ที่จอดรถ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 152  ตารางเมตร (ตร.ม.) บนเนื้อที่ตั้งแต่ 35.7 ตารางวา (ตร.ว.) มีจำนวน 18 ยูนิต และ Type M ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ห้องอเนกประสงค์ และ 2 ที่จอดรถ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 157 ตารางเมตร (ตร.ม.) บนเนื้อที่ตั้งแต่ 38.3 ตารางวา (ตร.ว.) ซึ่งมีจำนวน 22 ยูนิต ขณะที่ภายในตัวบ้านจะเน้นฟังก์ชันการใช้สอยที่ตอบโจทย์กับการอยู่อาศัยจริงของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ทั้งทางด้านราคาและฟังก์ชันการใช้สอย ในระดับราคาเริ่มต้น 3.99 – 4.99  ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์(รับรู้รายได้)โครงการได้ตั้งแต่เดือน กันยายน นี้ พร้อมทั้งมียอดพรีเซลเข้ามาประมาณ 130 ล้านบาท

“จุดเด่นของโครงการ สิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2 คือทำเลที่ตั้ง ซึ่งเหมาะกับการอยู่อาศัย และแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ สถานที่ตากอากาศบางปู  โลตัสบางปู  ตลาดบางปูใหม่  ใกล้โรงพยาบาลรัทรินทร์ นอกจากนี้ ยังเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียว BTS สถานีบางปู ด้วยจุดเด่นดังกล่าวเชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์จากลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่จะพิจารณาโครงการจากพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชัน ที่เอื้อต่อการทำงานที่บ้านมากขึ้น

ทำให้บ้านแนวราบ บริเวณแถบชานเมือง มีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมสูงขึ้น เนื่องจากราคาที่ดิน หรือราคาที่อยู่อาศัยไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับบ้านทำเลใจกลางเมือง ทำให้ผู้บริโภคได้ราคาไม่แพง มีบริเวณพื้นที่ใช้สอย และ ในปัจจุบันส่วนต่อขยายเส้นทางของรถไฟฟ้า ก็ครอบคลุมพื้นที่รอบนอกมากขึ้น ทำให้สะดวกต่อการเดินทาง ”

ส่วนในครึ่งปีหลัง บริษัทฯมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการ คือ  โครงการสิวารมณ์  วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) มูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินการภายใต้บริษัท บางปู แลนด์ 58 จำกัด (เป็นบริษัทย่อยที่สิวารมณ์ มีสัดส่วนการถือหุ้น 99.98%) เป็นโครงการประเภท บ้านแฝด ทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ รวมจำนวน 205 ยูนิต ตั้งอยู่เทศบาลบางปู 58 ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

จากปัจจุบัน บริษัทฯมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายต่อเนื่องอีก 4 โครงการ อาทิ โครงการ สิวารมณ์ แกรนด์ (สุขุมวิท – บางปู) เป็นโครงการประเภทบ้านเดี่ยว จำนวน 227 ยูนิต , โครงการสิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-เทพารักษ์) เป็นโครงการประเภททาวน์โฮม จำนวน 107 ยูนิต , โครงการ สิวารมณ์ ซิตี้ (นิคมพัฒนา-ระยอง) เป็นโครงการประเภทบ้านเดียว บ้านแฝด บ้านทาวน์โฮม รวมจำนวน 199  ยูนิต และโครงการ สิวารมณ์ เนเจอร์ พลัส (อัสสัมชัญ – ศรีราชา)เป็นโครงการประเภทแนวราบรวม 134 ยูนิต  ซึ่งปัจจุบันทุกๆ โครงการ ได้รับการตอบรับอย่างดี มีผู้เข้าชมโครงการ (Walk in) และยอดโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง

นายอรรถปวิทย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การพัฒนาโครงการในแต่ละโครงการของบริษัทฯ ได้ศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรม ผู้อยู่อาศัยในแต่ละทำเลเพื่อนำมาพัฒนาแบบบ้านและฟังก์ชัน ให้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย บริษัทฯมุ่งเน้นและคำนึกถึงทุกความคุ้มค่า ที่ตอบโจทย์กับการอยู่อาศัยจริง โดยเฉพาะการได้ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม จากการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้บริษัทฯประเมินว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ จะเริ่มกลับมาแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น เพื่อรองรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวจากกำลังซื้อของผู้บริโภคกลับเข้ามา ประกอบกับนโนบายสนับสนุนจากรัฐบาล ทั้งการขยายระยะเวลามาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เหลือร้อยละ 0.01 รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็นร้อยละ 100 จนถึงวันที่ 31 ธค. 2565 ดังนั้น จึงถือเป็นโอกาสของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

 

 

@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp