SABINA จับสัญญาณรายได้ ณ จุดขายนักท่องเที่ยวเติบโตชัด หลังเปิดประเทศ พร้อมเดินหน้าเจาะกลุ่มลูกค้าทัวริสต์ ปลื้มยอดขายไตรมาส 2 โตต่อเนื่อง

83

มิติหุ้น  –  นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชุดชั้นในภายใต้แบรนด์ “ซาบีน่า” เปิดเผยว่า จากการติดตามภาพรวมการดำเนินงานในครึ่งแรกของปีนี้ พบว่า รายได้ยอดขายยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 ที่น่าจะสามารถเติบโตได้เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 (YoY) โดยปัจจัยสนับสนุนอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากจะเป็นการเติบโตของสินค้าในกลุ่มเด็ก สอดรับกับการกลับมาเปิดภาคเรียนในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมแล้ว ยังพบว่า รายได้ ณ จุดขายที่กลุ่มลูกค้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยในบางจุดขายมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 100%  ซึ่งเป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทาง หลังจากสถานการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ

“เราเห็นสัญญาณการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาจากอินเดีย สิงคโปร์ และนักท่องเที่ยวจีนที่ไม่ใช่จีนแผ่นดินใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวไม่ใช่ลูกค้าหลักของ SABINA แต่หลังจากนี้ มีความเป็นไปได้ที่เราจะพิจารณาแผนเจาะลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม เพราะมีความเป็นไปได้ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยในปีนี้อาจจะมีจำนวนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเรามองว่า เป็นโอกาสที่จะสร้างตลาดใหม่ และตลาดนักท่องเที่ยวก็มีความท้าทายสูง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีเวลาซื้อจำกัด ทำให้เราต้องมองถึงการพัฒนาสินค้าของ SABINA รวมถึงการวางสินค้า ณ จุดขาย ให้สามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในเวลาสั้นๆ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าว

ขณะเดียวกัน ผลทางอ้อมที่จะเกิดจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจคึกคักขึ้น ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นก็จะกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศมากขึ้น ซึ่งกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจะส่งผ่านมาถึงยอดขายของ SABINA และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ สามารถรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้อย่างแน่นอน

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในขณะนี้ ยังเป็นเรื่องของราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ที่อาจจะส่งผลกระทบกับบริษัทฯ ในปีหน้า ซึ่งจะต้องวางแผนเพื่อรับมือต่อไป แต่ก็หวังว่าสถานการณ์ด้านราคาพลังงานจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในระยะข้างหน้า ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแตะระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวโน้มอ่อนค่าได้อีกนั้น บริษัทฯ ยังคงได้ประโยชน์จากการรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับลูกค้าในต่างประเทศ ส่วนการจ้างผลิตจากต่างประเทศซึ่งมีต้นทุนนำเข้าที่เพิ่มขึ้นนั้น ขณะนี้ได้ปรับเปลี่ยนด้วยการจ้างผลิตในประเทศเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

@mitihoonwealth

https://lin.ee/cXAf0Dp