มิติหุ้น-HMPROโดย บล.แอลเอช แนะซื้อ ราคาเป้าหมาย 18 บาท มี upside 35.3% เลือกเป็น 1 ใน Top Pick กลุ่ม โดยแจ้งงบQ2/65 มีกำไรสุทธิ 1.52 พันลบ. โต 6.4%YoY ดันกำไรงวด 1H65 เติบโต 8.6% YoY และคิดเป็น 48.4% ของประมาณการทั้งปีนี้ ขณะที่คาดกำไรงวด Q3/65 จะเติบโต YoY สูงเป็นพิเศษ จากฐานกำไรที่ต่ำมากในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งต้องปิดสาขาชั่วคราวจากมาตรการควบคุมโควิดภาครัฐ ตั้งแต่ 20 ก.ค.-31 ส.ค. 64
กำไรสุทธิงวด Q2/65 อยู่ที่ 1,522 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% YoY โดยรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้น 1% YoY แม้ SSSG 2Q65 ของ โฮมโปรในไทยจะลดลงเล็กน้อย แต่ยังได้ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากสาขาเปิดใหม่ ทั้งนี้ยอดขาย 2Q65 ที่ชะลอตัวเกิดจากยอดขายสินค้าในกลุ่มทำความเย็น อาทิ แอร์ และพัดลม ที่ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจาก 2Q65 ซึ่งเป็นฤดูร้อน แต่ฝนตกเร็วกว่าปกติ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมของ HMPRO ทั้งกลุ่มเพิ่มขึ้น 40 bps. YoY จากสัดส่วนยอดขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง โดยเฉพาะสินค้า Private Brand เพิ่มขึ้น อีกทั้งรายได้พื้นที่เช่า 2Q65 ฟื้นตัวชัดเจน +32% YoY จากอัตราการเช่าที่กลับมาสู่ระดับปกติแล้ว และค่าเช่าส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ส่วนลดแล้ว และมีพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้นจากสาขาเปิดใหม่ บวกกับรายได้อื่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการสนับสนุนของซัพพลายเออร์เพิ่มขึ้น 18.7% YoY
หากเปรียบเทียบ QoQ ยอดขายยังเพิ่มขึ้น 3.5% จากสินค้าเครื่องทำความเย็นที่เพิ่มขึ้น ขณะอัตรากำไรขั้นต้นลดลง 30 bps. จากผลกระทบต้นทุนที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน และสินค้าเครื่องทำความเย็นเป็นสินค้ามาร์จิ้นที่ต่ำกว่าปกติ อีกทั้งค่าใช้จ่าย SG&A ที่เพิ่มขึ้น 5.8% QoQ ทั้งจากสาขาเปิดใหม่ และค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น แต่ชดเชยได้จากรายได้ค่าเช่า+รายได้อื่นที่เพิ่มขึ้น 8.3% QoQ ส่งผลให้กำไรสุทธิ 2Q65 ยังเพิ่มขึ้น 0.7% QoQ
ความเห็น
- กำไรงวด 1H65 เติบโต 8.6% YoY และคิดเป็น 48.4% ของประมาณการทั้งปีนี้ ขณะที่คาดกำไรงวด 3Q65 จะเติบโต YoY สูงเป็นพิเศษ จากฐานกำไรที่ต่ำมากในช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลกระทบมาตรการควบคุมโควิดภาครัฐ ทำให้ธุรกิจโฮมโปรในไทยต้องปิดสาขาชั่วคราว 29 สาขา และเมกาโฮมอีก 4 สาขาตั้งแต่ 20 ก.ค.-31 ส.ค. 64 บวกกับ HMPRO มีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้มีแผนขยาย โฮมโปร ขนาดใหญ่ 1-2 สาขา เมก้าโฮม 4-5 สาขา และมีแผนเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นราว 30-40 bps. โดยมีแผนเพิ่มสัดส่วนการเพิ่มยอดขายสินค้า Private Brand จาก 19% ในปี 2564 เป็น 20.5% ในปีนี้ เพื่อช่วยเพิ่มมาร์จิ้น รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมรายจ่าย ส่งผลให้คาดกำไรปี 65 กลับมาเติบโตราว 15% และเติบโตต่อเนื่องอีกราว 15% ในปีหน้า
@mitihoonwealth