มิิติหุ้น – นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวลงราว -6% ถึงแม้ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยในปัจจุบันถือว่ากลับมาน่าสนใจ โดยค่าเฉลี่ยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (12m Fwd. PER) ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าปรับตัวลงจาก 16 – 17 เท่าในช่วงก่อนหน้านี้ มาอยู่ที่ระดับ 15 เท่าต้น ๆ แต่ประมาณการกำไรของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) ของตลาดหุ้นไทยปี 2565 และปี 2566 ที่ถูกปรับขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีดูจะไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงเศรษฐกิจที่มีโอกาสสูงในการเผชิญภาวะถดถอยในระยะข้างหน้า โดยคาดการณ์กำไรปี 2565 อยู่ที่ 98.2 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น +6% จากต้นปี และปี 2566 อยู่ที่ 107.4 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น +2% จากต้นปี
ดังนั้น ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ-ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้น แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกเสี่ยงถดถอย ภายหลังการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 จะต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดว่า ทิศทางกำไรสุทธิของตลาดโดยรวม (SET EPS) จะถูกปรับลงหรือไม่ โดย SET EPS ที่ถูกปรับลงทุก ๆ 1% จะคิดเป็นโอกาสปรับลดลง (Downside) ของ SET Index ราว 15 – 16 จุด
นายอภิชาติกล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 2/2565 ของหุ้นกลุ่มธนาคารที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของบล.ทิสโก้ทั้ง 7 แห่งมีกำไรสุทธิรวม 4.94 หมื่นล้านบาท ค่อนข้างทรงตัวทั้งเมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) ซึ่งดีกว่าที่บล.ทิสโก้และตลาดคาดไว้เล็กน้อยประมาณ 2% โดยธนาคารที่มีกำไรดีกว่าคาด คือ KTB, TTB, BAY และ KKP หลัก ๆ จากอัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อที่ดีขึ้น และต้นทุนเครดิตที่ลดลง รวมทั้งมีการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ดี
ขณะที่ KBANK, BBL และ SCB มีกำไรน้อยกว่าคาด จากรายได้ค่าธรรมเนียมที่อ่อนแอ มีผลขาดทุนจากการตีมูลค่าเงินลงทุน และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ BBL ยังคงต้นทุนเครดิตในระดับที่เข้มงวดแม้คุณภาพสินทรัพย์ยังคงดีอยู่ก็ตาม อย่างไรก็ดี หลังการประกาศผลประกอบการหุ้นกลุ่มแบงก์มีความชัดเจนโดยไม่ได้มีผลขาดทุนจากการตีมูลค่าเงินลงทุนสูงอย่างที่เป็นกังวลก่อนหน้านี้ เราเริ่มเห็นแรงซื้อคืนหุ้นกลุ่มแบงก์จากนักลงทุนต่างชาติ
สำหรับผลประกอบการของหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มแบงก์ (Non-bank Companies) จากการรวบรวมประมาณการกำไรของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) สำหรับคาดการณ์กำไรไตรมาส 2/2565 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งสิ้นจำนวน 147 บริษัท (คิดเป็น 76% ของมูลค่าตลาดรวมของหุ้นสามัญนอกกลุ่มแบงก์) คาดจะมีกำไรสุทธิรวม 1.88 แสนล้านบาท เติบโตดี +17% YoY และ +15% QoQ
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ คือ 1. กลุ่ม ENERG (+84% YoY, +36% QoQ) หลัก ๆ จาก PTTEP และหุ้นโรงกลั่นมีกำไรเติบโตก้าวกระโดด อานิสงส์จากราคาน้ำมันและค่าการกลั่นที่พุ่งสูงขึ้น 2. กลุ่ม FOOD (+56% YoY, +129% QoQ) มาจาก MINT ที่คาดว่าจะพลิกมีกำไรในไตรมาสนี้เทียบกับที่ขาดทุนเกือบ 4 พันล้านบาททั้งในไตรมาส 2/2564 และ 1/2565 ผสานกับหุ้นร้านอาหาร (M, ZEN) ที่พลิกมีกำไรเพิ่มขึ้นจากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ หุ้นส่งออกอาหาร – เครื่องดื่มก็มีกำไรเพิ่มขึ้นเช่นกัน (SAPPE, SNNP, TFG) ได้ประโยชน์จากความต้องการที่แข็งแกร่งในต่างประเทศและค่าเงินบาทอ่อน และ 3. กลุ่ม CONS (+89% YoY, +72% QoQ) โดย CK และ STEC จากการรับรู้รายได้งานในมือที่สูงขึ้นหลังการทยอยเปิดกิจกรรมเศรษฐกิจ ขณะที่ CK ยังมีรายได้เงินปันผลจาก TTW และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูก (BEM, CKP) ที่เพิ่มขึ้น
ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโต YoY ค่อนข้างโดดเด่น คือ กลุ่ม COMM (+44% YoY จากยอดขายต่อสาขาเดิมที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งจากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มกลับเข้ามา) และกลุ่ม HELTH (+60% YoY จากรายได้ Non-COVID ที่ขยายตัวทั้งผู้ป่วยในประเทศและต่างประเทศ และมาร์จิ้นดีขึ้นจากสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้น)
ด้านกลุ่ม TRANS และ TOURISM คาดยังมีผลขาดทุนอยู่ โดยกลุ่ม TRANS เป็นผลจาก AAV, AOT และ KEX ถูกกดดันจากจำนวนผู้โดยสารแม้ฟื้นตัวขึ้นแต่ยังห่างไกลก่อนช่วงระบาด COVID-19 และต้นทุนราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น ขณะที่กลุ่ม TOURISM เป็นผลจากหุ้นโรงแรม อาทิ CENTEL, ERW และ SHR ยังมีผลขาดทุนอยู่ในไตรมาสนี้ แต่ค่อย ๆ น้อยลง และคาดว่าจะพลิกกลับมาทำกำไรได้ในช่วงครึ่งปีหลังจากการท่องเที่ยวที่เร่งตัวขึ้นทั้งการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศจากภาครัฐ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บล.ทิสโก้แนะนำหาจังหวะการเข้าลงทุนในช่วงตลาดอ่อนตัว เน้นหุ้นที่คาดงบไตรมาส 2/2565 จะออกมาดี และมีแนวโน้มการจ่ายเงินปันผลครึ่งปีแรกโดดเด่น หุ้นเด่นในเดือนสิงหาคม คือ BANPU, CK, COM7, EGCO, KKP, RCL และ SMPC ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,520 – 1,540 จุด และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,600 – 1,610 จุด
@mitihoonwealth