อีสท์ วอเตอร์ ชี้แจงกรณีข้อมูลอภิปรายและข่าวที่คลาดเคลื่อน ยืนยันการจ่ายค่าส่วนแบ่งรายได้และการชำระภาษีถูกต้องตามสัญญาและกฎหมาย

59

มิติหุ้น  –  ผู้บริหารอีสท์ วอเตอร์ ชี้แจงว่าข้อมูลอภิปรายในสภาคลาดเคลื่อน กล่าวหาบริษัท แจงละเอียดยิบค่าน้ำสูงสุดเฉลี่ย ลบ.ม.ละ 11 บาท ไม่ใช่ 26 บาท  ย้ำชัดจ่ายค่าผ่านท่อตามสัญญา ขณะที่ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบันได้ปรับเพิ่มเป็น 7% พร้อมส่งเจ้าหน้าที่-เอกสารหลักฐาน แจง “ดีเอสไอ” กรณีถูกกล่าวหาลักลอบเชื่อมต่อท่อส่งน้ำดิบ เลี่ยงจ่ายภาษี

ตามที่มีการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เพื่อชี้แจงโครงการท่อส่งน้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยระบุว่าตลอด 30 ปีที่ผ่านมา บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ ได้ให้ผลตอบแทน 30 ปีกับรัฐบาลนั้นมาจนถึงวันนี้ยังไม่ถึง 600 ล้านบาทนั้น

เรื่องนี้นายเชิดชาย ปิติวัชรากุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรืออีสท์ วอเตอร์ ชี้แจงว่า ตามสัญญาการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก การจ่ายค่าตอบแทน(ค่าเช่าท่อ) ให้กับกรมธนารักษ์ ตามสัญญาตั้งแต่ปี 2537-2564 ทั้งสิ้น 588.33 ล้านบาท ตามสัญญาเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2536 ได้ระบุถึงอัตราค่าเช่าท่อไว้ที่ปีละ 2 ล้านบาท หรือปีใดหากมียอดขายน้ำดิบเกินกว่า 200 ล้านบาทต่อปี ให้จ่ายเพิ่ม 1% ของยอดขายน้ำดิบ ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2558 บริษัท ได้มีการปรับอัตราชั่วคราวจาก 3% เป็น 7%

 

ย้ำชัดค่าน้ำสูงสุดเฉลี่ยแค่ 11 บาท ต่อลบ.ม. ไม่ใช่ 26 บาท 

นายเชิดชาย กล่าวอีกว่าสำหรับผลตอบแทนแก่ภาครัฐ นอกเหนือจากการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนในแต่ละปี ให้แก่กรมธนารักษ์ มาตั้งแต่ปี 2537-2564 รวม 588 ล้านบาท ตามข้อตกลงที่ อีสท์ วอเตอร์ และกรมธนารักษ์ได้ตกลงกัน ขณะเดียวกัน อีสท์ วอเตอร์  ยังมีการจัดสรรกำไรในแต่ละปีโดยได้จัดสรรเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภาครัฐซึ่งถือหุ้นอยู่ในอีสท์วอเตอร์ 45% เป็นเงินรวมประมาณ 5,500 ล้านบาท ผลประโยชน์ส่วนเพิ่มของผู้ถือหุ้นภาครัฐ  3,060 ล้านบาท ลงทุนแทนภาครัฐ ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของคณะรัฐมนตรี  22,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นกว่า 30,000 ล้านบาท โดยยังไม่รวมปันผลแก่ผู้ถือหุ้นทั่วไปหลังจากจัดสรรปันผลแล้ว จะสะสมเป็นกำไรสะสมในงบการเงิน ณ สิ้นปี 2564 มีจำนวน 6,800 ล้านบาท

ส่วนการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำดิบ เป็นการกำหนดที่สะท้อนต้นทุนและได้กำไรที่เหมาะสมต่อความสามารถในการนำไปใช้ในการลงทุนได้ต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าในช่วง 10 ปีแรก อัตราค่าน้ำดิบโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 7 บาทต่อลบ.ม. ในปีที่ 11-20 อัตราค่าน้ำดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 8.5 บาทต่อลบ.ม. และในปีที่ 21-30 อัตราค่าน้ำดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 11 บาทต่อลบ.ม.

ดังนั้นในส่วนของการเก็บค่าน้ำดิบชัดเจนว่าราคาสูงสุดเฉลี่ยไม่เกิน 11 บาทต่อลบ.ม. ไม่ใช่ลบ.ม.ละ 12 บาทกว่า และ สูงสุด  ลบ.ม.ละ 26 บาท อย่างที่มีการกล่าวอ้างกันในสภาแต่อย่างใด

ในส่วนของการจ่ายผลตอบแทนให้แก่ภาครัฐ บริษัทได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง โดยจ่ายค่าเช่าบริหารท่อในอัตราที่เป็นไปตามสัญญา ตามที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนด หรือกรณีเส้นท่อที่ไม่มีสัญญาก็ได้จ่ายในอัตราชั่วคราว ตามที่ตกลงร่วมกันทั้งสองฝ่าย        การชำระค่าเช่าบริหารท่อในแต่ละปีให้แก่กรมธนารักษ์ ตั้งแต่ปี 2537-2564 เป็นไปตามสัญญาและตามเงื่อนไขของกรมธนารักษ์ โดยรายได้ที่นำมาคำนวณผลตอบแทนนั้นถูกต้องและสามารถตรวจสอบได้ เป็นไปตามงบการเงินซึ่งผ่านการตรวจสอบจาก ผู้ตรวจสอบบัญชีที่น่าเชื่อถือ

 

แจงเหตุกรมธนารักษ์ขอเข้าพื้นที่เวลากระชั้นชิด

นายเชิดชาย ชี้แจงถึงความเข้าใจคลาดเคลื่อนกรณีที่กรมธนารักษ์ แจ้งให้อีสท์ วอเตอร์ อำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่ของกรมธนารักษ์ ในการลงพื้นที่รับทราบข้อมูลและข้อเท็จจริง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยะอง ในวันที่ 21-22 เมษายน 2565 เรื่องนี้ อีสท์ วอเตอร์ ไม่ได้ขัดขวางการเข้าพื้นที่แต่อย่างใด

แต่เนื่องจากบริษัทได้รับหนังสือจากกรมธนารักษ์ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 เวลา 15.00 น. ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้าง กระชั้นชิด ในการมอบหมายพนักงานของบริษัทที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเตรียมข้อมูลและสถานที่เพื่ออำนวยความสะดวกในการลงพื้นที่ แก่เจ้าหน้าที่ของกรมธนารักษ์  ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งบริษัทต้องปฎิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ตามแนวทางของราชการในพื้นที่ปฎิบัติการอย่างเคร่งครัด

ดังนั้นอีสท์ วอเตอร์ จึงขอให้กรมธนารักษ์ เลื่อนวันที่จะลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ออกไปก่อน หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายบริษัทก็จะจัดเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับสถานที่ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง บริษัทยินดีให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ของกรมธนารักษ์

 

ส่งข้อมูลแจง”ดีเอสไอ” ปมถูกกล่าวหาเลี่ยงภาษี

นายเชิดชาย ย้ำว่าที่ผ่านมาอีสท์ วอเตอร์ให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน อย่างกรณีที่ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว       กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ขอข้อมูลเอกสารการสืบสวนและส่งเจ้าหน้าที่ร่วมตรวจพื้นที่ เนื่องจากมีเรื่องร้องเรียนว่าบริษัทอาจมีการลักลอบเชื่อมต่อท่อส่งน้ำดิบ ระหว่างสายหนองค้อ-แหลมฉบัง  (ระยะที่ 1) เข้ากับท่อส่งน้ำดิบ สายหนองค้อ-แหลมฉบัง (ระยะที่ 2) อาจมีการเสียภาษีไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยขอให้บริษัทจัดส่งเจ้าหน้าที่และส่งมอบหลักฐานไปให้ เรื่องนี้บริษัทยินดีให้ความแก่เจ้าหน้าที่ โดยได้มอบผู้แทนเข้าให้ข้อมูลแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม  ข้อมูลที่ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอมานั้น ทางบริษัทได้ส่งเอกสารสรุปข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถในการจ่ายน้ำ ปริมาณน้ำที่ได้จำหน่าย และรายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบจากท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง ระยะที่ 1 และท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง ระยะที่ 2 ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2545 ถึงปัจจุบัน และเอกสารทางการเงินของบริษัทย้อนหลัง 5 ปี

ดังนั้นกรณีที่มีการกล่าวหาอีสท์ วอเตอร์ ในเรื่องต่างๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมต่อการดำเนินงานของบริษัท ที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินธุรกิจให้บริการจัดหาส่งน้ำให้พื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในการสูบจ่ายน้ำให้ลูกค้าในแนวท่อ ที่บริษัทบริหารอยู่ทั้งหมด ดำเนินการในลักษณะองค์รวม Water Grid โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อลูกค้า ทั้งในแง่ของเสถียรภาพการสูบจ่าย และปริมาณน้ำที่ต้องเพียงพอแก่ลูกค้าตลอดทั้งปี เป็นพันธกิจที่สอดคล้องกับมติครม. ที่จัดตั้งบริษัทขึ้นมา เพื่อบริหารจัดการน้ำในภาคตะวันออก

เน้นการบริหารงานเพื่อสาธารณประโยชน์ของพื้นที่ภาคตะวันออกเป็นสำคัญ รวมถึงการสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพด้านน้ำให้กับลูกค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันที โดยบูรณาการภาพรวมการส่งการจ่าย ผ่านโครงข่ายท่อส่งน้ำ ขนาดใหญ่ มีการเชื่อมโยงเส้นท่อทั้งของกรมธนารักษ์ที่มีอยู่เดิม และที่บริษัทสร้างใหม่ เพื่อสร้างความมั่นคงคงด้านน้ำให้กับผู้ใช้น้ำที่เป็นลูกค้าของบริษัทเป็นหลัก

@mitihoonwealth

https://lin.ee/cXAf0Dp