ILM ไตรมาส 2/2565 กำไรโตกว่า 60% สูงสุดในรอบ 11 ไตรมาส ประกาศจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.20 บาท

196

มิติหุ้น – ILM ประกาศผลงานไตรมาส 2/2565 กำไรสุทธิ 162.3 ล้านบาท เติบโต 60.7% YoY และ 1.0% QoQ สูงสุดในรอบ 11 ไตรมาส นับจากไตรมาส 3/2562 รายได้จากการให้เช่าและบริการทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง พร้อมประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.20 บาท

นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ผู้นำธุรกิจร้านค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านครบวงจรในประเทศไทย เปิดเผยผลการดำเนินการไตรมาส 2/2565 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,169.6 ล้านบาท เติบโต 5.9% YoY แม้บริษัทฯ ได้ยุติธุรกิจการจำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ Power One และได้เปลี่ยนพื้นที่การจำหน่ายของ Power One ไปเป็นพื้นที่เช่าให้กับ บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) (COM7) ตั้งแต่ต้นปี 2565 และมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2565 เท่ากับ 162.3 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 11 ไตรมาส นับจากไตรมาส 3/2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2565 เติบโต 60.7% YoY และ 1.0% QoQ โดยปัจจัยบวกมาจากการเติบโตของยอดขายสาขา ยอดขายโครงการ ยอดขายแฟรนไชส์ต่างประเทศ และการทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งของรายได้จากการให้เช่าและบริการ รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้นมาก ในขณะที่สภาพคล่องแข็งแกร่ง ชำระคืนเงินกู้ระยะยาวสถาบันการเงินก่อนกำหนดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัทฯ ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.20 บาท สำหรับงวดการดำเนินงาน 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2565 เพิ่มขึ้นจากการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวดการดำเนินงาน 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งจ่ายในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท

นางสาวกฤษชนก ชี้แจงเพิ่มเติมว่า นับจากมาตรการคลายล็อกดาวน์ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2564 ผลประกอบการของบริษัทฯ สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นและต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2564 ไตรมาส 1/2565 จนมาถึงไตรมาส 2/2565 อยู่ในระดับสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 โดยเฉพาะในไตรมาส 2/2565 ซึ่งกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 ไตรมาส นับจากไตรมาส 3/2562

ทั้งนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงจากความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงจากต้นทุนพลังงานและราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนสินค้าและค่าครองชีพเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ทั้งจากการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดีขึ้น การลงทุนภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์การท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทฯ จึงประเมินทิศทางการดำเนินงานว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตทั้งจากรายได้จากการขายและรายได้จากการให้เช่าและค่าบริการ การรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นจากการปรับราคาขายให้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุน การวางแผนการส่งเสริมการขายที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า การบริหารจัดการต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ แผนการขยายสาขา Index Living Mall สาขาลาดกระบัง ในช่วงปลายปี 2565 และ Little Walk กรุงเทพกรีฑา ประมาณช่วงกลางปี 2566 แผนการเปิดสาขาแฟรนไชส์ Index Living Mall ในต่างประเทศเพิ่มเติม รวมถึงการพัฒนาช่องทางธุรกิจใหม่ๆ และการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งจะเป็นปัจจัยผลักดันช่วยให้บริษัทฯ สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง นางสาวกฤษชนก กล่าวสรุป

 

@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp