มิติหุ้น – นายสัตวแพทย์ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ จำกัด (มหาชน) หรือ “BIS” ผู้นำยา วัคซีน และเวชภัณฑ์สัตว์ เปิดเผยถึงผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปี 2565 ว่า “บริษัทมีรายได้รวม 1,042 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 921 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 30.12 ล้านบาท ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 33 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากจาก 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก คือ 1.ผลิตภัณฑ์เพื่อการวินิจฉัยโรคสำหรับสัตว์ (Diagnostic) 2.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสำหรับสัตว์ (Nutrition) และ 3. ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอาหารสัตว์ (Ingredient)
ส่วนสาเหตุหลักที่กำไรสุทธิที่ปรับตัวลงเนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรทั่วโลก ทำให้จำนวนประชากรสุกรในภาพรวมลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญในปีที่ผ่านมาความต้องการและกำลังซื้อของลูกค้าสำหรับสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ยาและวัคซีนสัตว์ (Animal Health) ลดลงทำให้ในไตรมาส 2 บริษัทฯ ต้องลดราคาเพื่อระบายสต็อคสินค้าที่ใกล้หมดอายุ จึงทำให้มีอัตรากำไรน้อยลง แต่ทั้งนี้เป็นการได้รับผลกระทบเพียงชั่วคราวเท่านั้น โดยผลการดำเนินงานในงวด ไตรมาส 2 ของปี 2565 BIS มีรายได้รวม 502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากรายได้รวม 492 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 และมีกำไรสุทธิ 13.2 ล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิ 21.5 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 25 สิงหาคม 2565 และจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 9 กันยายน 2565 นี้
“ในปีนี้ BIS ตั้งเป้าสร้างผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ารายได้รวมจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20 – 25% โดย รายได้หลักของบริษัทฯ มาจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำของอุตสาหกรรมอาหาร และรายได้บางส่วนจากธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงซึ่งมีการเติบโตสูง โดยบริษัทฯ พยายามที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้สูงขึ้น และสร้างอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ดี โดย BIS ใช้กลยุทธ์การผลิตสินค้าแบรนด์ของบริษัทฯ เองแทนการจ้างผลิต เพื่อเพิ่มรายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ วัตถุดิบอาหารสัตว์ และลงทุนในการพัฒนาวัคซีนสำหรับสัตว์เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ทดแทนการนำเข้าวัคซีนจากต่างประเทศ และการเพิ่มสินค้าใหม่ที่ช่วยขยายตลาด
ในขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ยา วัคซีน และเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์และสัตว์เลี้ยง มีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ การท่องเที่ยว กำลังซื้อของผู้บริโภคที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ฟาร์มสุกรกำลังเริ่มฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการในผลิตภัณฑ์ยา วัคซีน วิตามินและเสริมอาหาร ตลอดจนชุดตรวจโรคต่างๆ เพิ่มมากขึ้นตามจำนวนสุกร นอกจากนี้คาดว่าปีนี้ปริมาณการส่งออกอาหารเพิ่มมากขึ้นประมาณ 20% ทำให้ BIS ซึ่งอยู่ในห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมอาหารได้รับประโยชน์โดยตรง
BIS มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมวัคซีนสัตว์ เพื่อป้องกันโรค โดยร่วมมือกับนักวิจัยจากสถาบันวิจัยชั้นนำของประเทศอาทิ สวทช. ศูนย์ไบโอเท็ค มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัทฯ ยังคงมุ่งพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยโรคในสัตว์และในมนุษย์ เพื่อเสริมสร้างจุดแข็งเดิม ได้แก่ การเป็นผู้นำเข้าวัคซีน ยา เวชภัณฑ์ระดับโลก การมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ทั่วประเทศในอุตสาหกรรมอาหารของไทยที่มีมูลค่าการส่งออกอาหารสูงติดอันดับโลก และความสำเร็จในการสร้างสรรค์ นวัตกรรมที่สามารถแก้ปัญหาด้านสุขอนามัยของโลก เช่น การผลิตชุดตรวจโควิด-19 แบบ Real time PCR ซึ่งเป็นผู้ผลิตไทยรายแรกที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองมาตรฐาน และการผลิตชุดตรวจโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร หรือ ASF ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างดีเยี่ยมและยอดขายเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง นายสัตวแพทย์ธนวัฒน์ กล่าว
@mitihoonwealth