มิติหุ้น – บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA รายงานรายได้ที่แข็งแกร่ง จำนวน 8,092.1 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/2565 โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 58 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 34 จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจหลัก โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือและกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มการลงทุนอื่น มีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 54 ร้อยละ 23 ร้อยละ 13 ร้อยละ 6 และร้อยละ 4 ของรายได้รวมทั้งหมด ตามลำดับ ทำให้กำไรขั้นต้นเป็น 2,614.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 85 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 52 จากไตรมาสก่อน ส่วน EBITDA เติบโตร้อยละ 97 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 53 จากไตรมาสก่อน เป็น 1,993.9 ล้านบาท ดังนั้น กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติส่วนที่เป็นของ TTA ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 156 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 71 จากไตรมาสก่อน เป็น 1,672.4 ล้านบาท
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 TTA มีสินทรัพย์รวม 41,937.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,990.5 ล้านบาท หรือร้อยละ 8 จากสิ้นปี 2564 สาเหตุหลักมาจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้นจากกำไรจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 โดยเงินสดภายใต้การบริหาร ซึ่งประกอบด้วยเงินสด รายการเทียบเท่าเงินสด และสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนอื่น ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 11,764.2 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงสร้างเงินทุนยังคงแข็งแกร่ง เห็นได้จากอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำที่ 0.37 เท่า ณ สิ้นไตรมาส
นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTA กล่าวว่า “จากการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าของกลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ และการขยายขอบเขตการให้บริการของกลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง ในไตรมาสที่ 2/2565 ส่งผลให้ TTA มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบกว่าทศวรรษ โดยที่อัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าของโทรีเซน ชิปปิ้ง ยังคงแข็งแกร่ง ครองแชมป์สถิติสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ทั้งนี้ จากบทวิเคราะห์ของ Clarksons แม้จะมีความท้าทายด้านเศรษฐกิจมหภาคและความกังวลด้านอุปสงค์ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ตลาดขนส่งสินค้าแห้งเทกองยังคงแข็งแกร่ง เห็นได้จากอัตราค่าระวางเรือที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอยู่มาก
“ด้านเมอร์เมดฯ กลับมาสร้างผลกำไรได้ในไตรมาสที่ 2/2565 เนื่องจากรายได้จากงานวางสายเคเบิลใต้ทะเล งานรื้อถอน และงานขนส่งและติดตั้ง เพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีมูลค่าสัญญาให้บริการรอส่งมอบทำสถิติใหม่สูงสุดที่ 358 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส สาเหตุหลักมาจากลูกค้ารายเดิมในตะวันออกกลางได้ขยายระยะเวลางานบริการนอกชายฝั่งเพิ่มเติมอีก 3 ปี ขณะเดียวกัน PMTA ยังคงมีกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณส่งออกปุ๋ยฟื้นตัวขึ้นแม้อยู่ในช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบาก”
ผลการดำเนินงานของรายกลุ่มธุรกิจ
กลุ่มธุรกิจขนส่งทางเรือ :
ในไตรมาสที่ 2/2565 โทรีเซน ชิปปิ้ง รายงานรายได้ค่าระวางที่ 4,376.5 ล้านบาท ซึ่งทำสถิติสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 63 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 38 จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากค่าระวางเรือที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าเฉลี่ยของโทรีเซน ชิปปิ้ง ในไตรมาสที่ 2/2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 68 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 23 จากไตรมาสก่อน เป็น 30,831 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน สูงกว่าอัตราค่าระวางเรือซุปราแมกซ์สุทธิที่ 27,456 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน อยู่ร้อยละ 12 อัตราค่าระวางเรือที่โทรีเซน ชิปปิ้ง เป็นเจ้าของทำสถิติสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ด้วยอัตราค่าระวางเรือเทียบเท่าสูงสุดอยู่ที่ 49,972 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน โดยเติบโตร้อยละ 79 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 17 จากไตรมาสก่อน และมีอัตราการใช้ประโยชน์เรือสูงถึงร้อยละ 100 ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของเรือ (OPEX) ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 4,048 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ด้วยเหตุนี้ กำไรขั้นต้นจึงปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 119 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 35 จากไตรมาสก่อน เป็น 1,917.2 ล้านบาท เช่นเดียวกับ EBITDA ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 133 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 32 จากไตรมาสก่อน เป็น 1,916.1 ล้านบาท โดยสรุป โทรีเซน ชิปปิ้ง รายงานผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 1,763.1 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 163 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 36 จากไตรมาสก่อน
ในไตรมาสที่ 2/2565 โทรีเซน ชิปปิ้ง เป็นเจ้าของเรือ จำนวน 24 ลำ (เรือซุปราแมกซ์ จำนวน 22 ลำ และเรืออัลตราแมกซ์ จำนวน 2 ลำ) มีระวางบรรทุกเฉลี่ยเท่ากับ 55,913 เดทเวทตัน (DWT) และมีอายุเฉลี่ย 14.2 ปี ณ สิ้นไตรมาส
กลุ่มธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง :
บริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด (มหาชน) หรือเมอร์เมดฯ ในไตรมาสที่ 2/2565 มีรายได้อยู่ที่ 1,888.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญร้อยละ 148 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการขยายขอบเขตการให้บริการไปยังงานวางสายเคเบิลใต้ทะเล งานรื้อถอน (decommissioning) งานขนส่งและติดตั้ง (Transportation & Installation: T&I) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 41 จากไตรมาสก่อน จากการเพิ่มขึ้นของงานวิศวกรรมใต้ทะเล (subsea-IRM) ด้วยเหตุนี้ เมอร์เมดฯ จึงมีกำไรขั้นต้นกลับมาเป็นบวก จำนวน 289.1 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 136 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 472 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากอัตรากำไรที่ดีขึ้นของโครงการวางสายเคเบิ้ลใต้ทะเล และอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือวิศวกรรมใต้ทะเลเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมค้า จำนวน 27.8 ล้านบาท ทั้งนี้ EBITDA อยู่ที่ 187.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อน
โดยสรุป เมอร์เมดฯ รายงานผลกำไรสุทธิเป็นครั้งแรกหลังจากไตรมาสที่ 4/2560 จำนวน 84.5 ล้านบาท และผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 45.5 ล้านบาท รวมทั้งมีมูลค่าสัญญาให้บริการรอส่งมอบทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 358 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสที่ 2/2565
กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร :
ในไตรมาสที่ 2/2565 บริษัท พีเอ็ม โทรีเซน เอชีย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMTA รายงานรายได้รวมที่ 1,012.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 40 จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากราคาขายปุ๋ยที่เพิ่มขึ้น รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อการเกษตรอื่น (pesticide) และการให้บริการจัดการพื้นที่โรงงานที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ปริมาณขายปุ๋ยรวมอยู่ที่ 36.3 พันตัน ส่วนปริมาณขายปุ๋ยในประเทศคิดเป็นร้อยละ 54 ของปริมาณขายปุ๋ยทั้งหมด มีจำนวน 19.7 พันตัน ขณะเดียวกัน ปริมาณส่งออกปุ๋ยไปประเทศฟิลิปปินส์ขยายตัวหลังจากจีนระงับการส่งออกปุ๋ยเพื่อสำรองให้กับความต้องการภายในประเทศ ดังนั้น ปริมาณส่งออกปุ๋ยปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 153 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 401 จากไตรมาสก่อน เป็น 16.6 พันตัน ส่วนรายได้จากการให้บริการจัดการพื้นที่โรงงานเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันที่ร้อยละ87 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน เป็น 24.2 ล้านบาท จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าในงวดนี้
โดยสรุป กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตรสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง มีกำไรสุทธิสำหรับงวดจำนวน 16.4 ล้านบาท และผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของ TTA จำนวน 11.2 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/2565
กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage)
พิซซ่า ฮัท ดำเนินงานภายใต้บริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 70 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 พิซซ่า ฮัท มีสาขาทั้งหมด 184 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งสาขาทั้งหมดเป็นสาขาที่เปิดตามหัวเมืองใหญ่
ทาโก้ เบลล์ เป็นแฟรนไชส์อาหารเม็กซิกันสไตล์ที่มีชื่อเสียงชั้นนำระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานภายใต้บริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 70 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 ทาโก้ เบลล์ มีสาขาทั้งหมด 12 สาขาทั่วประเทศ โดยในไตรมาสนี้ได้เปิดสาขาใหม่อีก 1 แห่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ
กลุ่มการลงทุนอื่น (Investment) มุ่งเน้นธุรกิจการบริหารทรัพยากรน้ำและโลจิสติกส์
บริษัท เอเชีย อินฟราสตรักเชอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ AIM ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 83.75 เป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้าง และให้บริการครบวงจรทางด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ AIM ยังได้รับสัมปทานในการจำหน่ายน้ำประปาในหลวงพระบาง ประเทศลาว ผ่านบริษัทย่อยที่ AIM ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 66.7
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp