FLOYD เชื่อ H2/65 เติบโตแกร่งจ่อรับงานใหม่เพิ่ม ชูกลยุทธ์เน้นการควบคุมต้นทุน – รักษาฐานลูกค้าเดิม

51

มิติหุ้น  –   นายทศพร จิตตวีระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟลอยด์ จำกัด (มหาชน) หรือ FLOYD  ผู้ให้บริการรับเหมาติดตั้งงานวิศวกรรมระบบสาธารณูปโภค และระบบดาต้าเซ็นเตอร์ กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 มองว่าบรรยากาศการลงทุนน่าจะดีขึ้น โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในด้านการคมนาคม จะกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ภาคเอกชนได้รับความเชื่อมั่น ทยอยเปิดตัวงานโครงการใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารสำนักงานขนาดใหญ่, อาคารมิกซ์ยูส (Mixed-Use) และ ห้างสรรพสินค้าและค้าปลีก ที่มีแนวโน้มขยายตัวเพื่อรองรับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างประมูลงานใหม่เพิ่มเติมอีก หลายงาน เป็นงานของลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ซึ่งมีโอกาสได้รับงานสูง
โดยแผนธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ ยังใช้กลยุทธ์เน้นการควบคุมต้นทุน รักษาฐานลูกค้าเดิม ได้แก่ กลุ่มห้างค้าปลีก อาคารสำนักงาน พร้อมลุยงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับ Data Center เพิ่ม ซึ่งเป็นธุรกิจเมกะเทรนด์ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการใช้เทคโนโลยี Cloud , AI, IoT และ Big Data ที่เพิ่มมากขึ้นในอีก 4-5 ปี ประกอบกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐในการพัฒนาดิจิทัล มาตรการสิทธิพิเศษทางภาษี และอัตราค่าไฟฟ้าพิเศษ ในการผลักดันการลงทุนในระดับ Hyperscale Data Center เพื่อให้ประเทศเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค (Regional digital Hub) รวมถึงทำเลของกรุงเทพ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและปริมาณการใช้งานไอทีจำนวนมหาศาล เป็นปัจจัยบวกในการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย
เพื่อให้อาคาร Data Center สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตามมาตรฐานที่กำหนดนั้นต้องได้รับการออกแบบและติดตั้งจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยบริษัทฯซึ่งเป็น 1 ในผู้รับเหมาก่อสร้างและวางระบบ Mechanical & Electrical (M&E) ของอาคาร Data Center ด้วยทีมงานวิศวกรที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในธุรกิจ โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ในช่วงของการเจรจากับพันธมิตรหลายราย
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯในไตรมาส 2/2565 มีรายได้จากการให้บริการ 23.71 ล้านบาท ลดลง 68.41% % จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีผลขาดทุนสุทธิ 10.56 ล้านบาท เนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาคเอกชนที่ซบเซาในช่วงต้นปี โดยเฉพาะกลุ่มอาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่ ที่ลดลงจากผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง และในไตรมาสนี้บริษัทฯ มีโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดในหลายโครงการ เมื่อเปิดโครงการและเริ่มปฏิบัติงาน การเจริญเติบโตของรายได้ก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ และจะส่งผลให้บริษัทฯรับรู้รายได้จากการให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ที่สำคัญที่เพิ่มขึ้น ประกอบด้วยรายได้จากโครงการแนวราบ อาคารสำนักงาน และดาต้าเซ็นเตอร์
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ (10.56) ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 1.93 ล้านบาท  เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับผลกระทบเชิงลบจากการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 แต่เชื่อว่า ผลงานไตรมาส 2 ได้ผ่านจุดต่ำสุด และกำลังจะฟื้นตัว เนื่องจากปัจจุบันทิศทางงานเริ่มกลับมา และมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) 199.50 ล้านบาท อีกทั้ง เตรียมพร้อมประมูลงานใหม่เพิ่มเติมในครึ่งปีหลัง

@mitihoonwealth

https://lin.ee/cXAf0Dp