มิติหุ้น- “สาธิต วิทยากร”ได้รายงานการขายหุ้น BH ต่อสำนักงานก.ล.ต. จำนวนที่ถืออยู่ทั้งหมด 8.39% ซึ่งเป็นการจำหน่ายเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 65
อย่างไรก็ตามทางด้านบล.เอเซียพลัส คงคำแนะนำ“ซื้อ” ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปีนี้เป็น 235 บาทจากเดิม 215 บาท เนื่องจาก แนวโน้มกำไรในช่วง 2H65 จะดีกว่า 1H65 และคาดกำไร Q3/65 จะเป็นจุดสูงสุดของปี จะทำให้คาดการณ์กำไรในปี2565 เติบโตแรงถึง 248.1% และเติบโตได้ต่อเนื่องอีก 8.6% ในปี2566
ภาพกำไร1H65 ออกมาดูดีอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท (+438.6%YoY, +108.2%HoH) และคาดแนวโน้มกำไร 2H65 จะดีต่อเนื่องและดีกว่า 1H65 มาจากรายได้การให้บริการและ Gross Margin ที่ทำได้ดีขึ้น ตามสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้น หลังการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการให้ส่วนลดค่ายาที่ลดลง
เนื่องจากกำไรปกติช่วง 1H65 มีสัดส่วนราว 71.9% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2565 เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2565-66 ขึ้น จากเดิม 30.2% และ 11.9% ตามลำดับ เป็น 4.2 พันล้านบาท (+248.1%YoY) และ 4.6 พันล้านบาท (+8.6%YoY) โดยมีมูลค่าพื้นฐานปี 2565 ใหม่ อยู่ที่ 235 บาท จากเดิม 215 บาท ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากแนวโน้มกำไรในช่วง 2H65 ที่สดใส จากกำไรในงวด 3Q65 จะเป็นสถิติสูงสุด และภาพกำไรใน 1-2 ปีนี้ยังคงเติบโตเด่น
ยืนยันภาพแนวโน้มกำไรในปีนี้ที่จะฟื้นตัวเด่นสุดในกลุ่มรพ.
กำไรปกติของ BH ในงวด 2Q65 ยังคงทำได้ดีขึ้นต่อเนื่องเป็น 1.2 พันล้านบาท (+438.6%YoY, +60.8%QoQ) ผลักดันโดยรายได้ของผู้ป่วยต่างชาติในงวด 2Q65 ที่กลับมาสูงกว่าช่วงก่อนวิกฤต COVID หรือคิดเป็น 104.0% ของรายได้งวด 2Q62 ซึ่งลูกค้าหลักยังเป็นกลุ่มตะวันออกกลาง (กาต้าร์, ยูเออี, คูเวท, โอมาน) และกลุ่มอินโดไชน่า (พม่า, บังกลาเทศ, กัมพูชา) ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่สูงขึ้น ยังช่วยผลักดันอัตรากำไรขั้นต้นให้สูงขึ้นตามไปด้วย (มาร์จิ้นของผู้ป่วยต่างชาติดีกว่ากลุ่มผู้ป่วยไทย) จึงส่งผลให้ภาพรวมกำไรในช่วง 1H65 ออกมาดูดีอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท (+514.8%YoY, + 108.2%HoH) โดยรายได้จากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติในช่วง1H65ยังคงฟื้นตัวเด่นอยู่ที่ 89.2% ของรายได้ช่วงก่อนโควิด (1H62)
แนวโน้มกำไรในงวด 3Q65 จะออกมาเด่นมาก คาดจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ โดยจะไต่ระดับขึ้นเป็นจุดสูงสุดของปี(ช่วง High Seasonของกลุ่มรพ.) ซึ่งปัจจัยหลักยังคงมาจากรายได้การให้บริการ (ไม่เกี่ยวข้องกับ COVID) และอัตรากำไรขั้นต้น ที่คาดจะสูงขึ้นจากการเข้ามารักษาของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ หลังการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา (ยกระบบ Thailand Pass) นอกเหนือจากนี้ บริษัทยังมีกลยุทธ์ที่จะเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้สูงขึ้น โดยการบริหารจัดการต้นทุนแพทย์/พยาบาล ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการปรับอัตราส่วนลดและการจัดโปรโมชั่นสำหรับค่าห้อง/ค่ายา ให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายจะให้ส่วนลดในระดับที่ต่ำกว่า 10% ภายในปี 2565 ที่เป็นระดับเดียวกันกับช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID (เมื่อเทียบกับช่วง 1H65 ที่ให้ส่วนลดเฉลี่ย 13.4%) ซึ่งจากปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้น จะผลักดันให้แนวโน้มกำไรในช่วง 2H65 ทำได้ดีขึ้นต่อเนื่อง และจะดีกว่าช่วง 1H65
ปรับกำไรปี 2565-66 ขึ้น 30.2%และ11.9% สะท้อนกำไรที่แกร่งใน 2Q65
เนื่องจากกำไรช่วง 1H65 คิดเป็นสัดส่วนราว 71.9% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2565 และแนวโน้มกำไรในงวด 3Q65 ที่คาดจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ จนขึ้นทำจุดสูงสุดของปี (ช่วง High Season ของกลุ่มรพ.) ฝ่ายวิจัยจึงได้ปรับประมาณการกำไรปี 2565-66 เพิ่มขึ้นจากเดิมราว 30.2% และ 11.9% ตามลำดับ เป็น 4.2 พันล้านบาท (+248.1%YoY) และ 4.6 พันล้านบาท (+9.8%YoY) โดยสมมติฐานที่เปลี่ยนแปลงคือ
1) ปรับรายได้ปี 2565-66 ให้เพิ่มขึ้นจากเดิม 18.7% และ 2.6% เป็น 1.9 หมื่นล้านบาท (+53.3%YoY) และ 2.0 หมื่นล้านบาท (+3.7%YoY) ตามลำดับ มาจาก
– ปรับรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติในปี 2565-66 ให้สูงขึ้นจากเดิม 20.7% และ 1.5% เป็น 1.2 หมื่นล้านบาท (64.2% ของรายได้รวม) และ 1.3 หมื่นล้านบาท (66.7% ของรายได้รวม) ตามลำดับ ภายใต้สมมติฐานผู้ป่วยต่างชาติในปี2565 กลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID
– ปรับรายได้ของผู้ป่วยไทยปี 2565-66 ให้เพิ่มขึ้นจากเดิม 15.5% และ 6.1% เป็น 6.8 พันล้านบาท (35.8% ของรายได้รวม) และ 6.5 พันล้านบาท (33.3% ของรายได้รวม) ภายใต้สมมติฐานที่ไม่รวมรายได้COVID ไว้ในปี2566
2) ปรับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ขึ้น จากเดิม 2.0% และ 1.3% ในปี 2565-66 เป็น 45.4% และ 46.0% ตามลำดับ (ช่วง 1H65 มีสัดส่วนราว 44.1%) สะท้อนจากมาร์จิ้นที่สูงขึ้นตามสัดส่วนรายได้ของผู้ป่วยชาวต่างชาติที่มากขึ้น
3) ปรับลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (SG&A/Sale) ลงเป็น 19.2% ในปี 2565 และ18.3% ในปี 2566 จากเดิมอยู่ที่19.9% และ19.5% (ช่วง 1H65 มีสัดส่วน 19.5%) สะท้อนการควบคุมต้นทุนแพทย์/พยาบาล และการประหยัดต่อขนาดที่ทำได้ดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาด
คงคำแนะนำ“ซื้อ” ด้วยมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2565 อยู่ที่235 บาท
ภายใต้ประมาณการใหม่ มูลค่าพื้นฐานปี 2565 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 235 บาท (DCF, WACC 5.9%) จากเดิม 215 บาท จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” BH เนื่องจากในช่วงระยะสั้น แนวโน้มกำไรในช่วง 2H65 จะดีกว่า 1H65 โดยคาดกำไรในงวด 3Q65 จะเป็นจุดสูงสุดของปี (คาดเติบโตทั้ง YoY และ QoQ) จะทำให้คาดการณ์กำไรในปี2565 เติบโตแรงถึง 248.1% และเติบโตได้ต่อเนื่องอีก 8.6% ในปี2566
@mitihoonwealth