บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ผลงาน Q3/65 ของ SNNP โดยโมเมนตัมยอดขายทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง จากการเปิดประเทศ การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในต่างประเทศ และ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ประสบความสำเร็จ โดยบริษัทได้เปิดตัว Jele Beautie ซึ่งเป็นเรือธงของบริษัทเมื่อต้นเดือนกันยายน และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
ทั้งนี้ SNNP เป็นผู้นำตลาดโดยมีส่วนแบ่ง 76% ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เยลลี่พร้อมดื่ม เราประเมินว่ายอดขายใน Q3/65 ทั้งในประเทศและต่างประเทศจะเติบโต QoQ และ YoY มาเป็นสถิติสูงสุดอีกครั้ง ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นใน Q3/65 มีแนวโน้มดีขึ้น QoQ เนื่องจากปัญหาด้านแรงงานเริ่มคลี่คลายลงตั้งแต่ช่วงปลาย Q2/65 อีกทั้งปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่วนการเปิดตัว Jele Beautie พร้อมบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่มีขนาดเล็กลงแต่ราคาเท่าเดิม จะช่วยหนุนให้อัตรากำไรสูงขึ้น เนื่องจากมีการใช้วัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์น้อยลง ในด้านค่าใช้จ่ายด้านโฆษณาคาดว่าจะเพิ่มขึ้น แต่เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท
ดังนั้น Q3/65 คาดว่ากำไรสุทธิจะแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเติบโตมากกว่า 60% YoY และกำไรจะเพิ่มขึ้นเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ใน Q4/65 เนื่องจากเป็นไฮซีซั่น ส่วนโรงงานผลิตในเวียดนามจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน ต.ค. ตามแผน โดยจะผลักดันยอดขายตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไป รวมทั้งช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งสำหรับสินค้าที่ขายในเวียดนาม ส่วนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทย 6.6% มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. 65 เราคาดว่าส่งผลกระทบเล็กน้อย เนื่องจากค่าแรงคิดเป็น 10-12% ของต้นทุน อีกทั้ง SNNP มีการติดตั้งเครื่องจักรในการบรรจุสินค้าซึ่งจะลดจำนวนพนักงานลง
โดยฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 65 และ 66 ขึ้น 2% และ 5% ตามลำดับ สะท้อนการเติบโตของยอดขายที่แข็งแกร่งเกินคาด ยอดขายทั้งในและต่างประเทศมีแนวโน้มเติบโตได้ดีจากการฟื้นตัวของการบริโภค การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ได้รับการตอบรับดี และการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย การเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ในเวียดนามจะเพิ่มโอกาสในการเติบโตตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมายสำหรับปี 66 ส่งผลให้ราคาเป้าหมายใหม่อิง DCF (WACC 7.3% และ G.3%) เพิ่มเป็น 21.20 บาท จากเดิม 18.80 บาท คงแนะนำ ซื้อ
@mitihoonwealth