มิติหุ้น – นายเอกชัย ลิ้มศิริวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอสที รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทรัพย์ศรีไทย (SSTRT) เปิดเผยถึงภาพรวมอุตสาหกรรมการให้บริการคลังเอกสารว่า การให้บริการคลังเอกสารยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดเก็บข้อมูล เพื่อใช้ประกอบการดำเนินธุรกิจในทุก ๆ ภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และเอกชน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสืบค้นและอ้างอิงทางเอกสารหลักฐานเชิงข้อมูลทางธุรกิจ รวมถึงการตรวจสอบเอกสารของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งนี้แม้ว่าในปัจจุบันบริษัทหลายแห่งเลือกเก็บเอกสารในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ แต่ในประเทศไทยยังคงมีข้อบังคับทางกฎหมาย กำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องเก็บเอกสารไว้ เพื่อตรวจสอบหรืออ้างอิงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยเฉพาะสถาบันทางการเงิน ซึ่งกำหนดให้มีการจัดเก็บเอกสารบางประเภทในรูปแบบต้นฉบับกระดาษ อาทิ เอกสารทางบัญชี เอกสารทางการเงิน เอกสารนิติกรรมต่างๆ และเอกสารอื่นๆ ที่มีความสำคัญทางกฎหมายและภาษีอากรเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบ กำกับดูแล และสืบค้นตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ภายใต้ระยะเวลาการเก็บรักษาเอกสารอย่างน้อย 5-10 ปี หรือเป็นไปตามนโยบายของแต่ละบริษัทก่อนที่จะถึงช่วงที่กำหนดทำลายเอกสาร
ดังนั้นจากปริมาณธุรกรรมและเอกสารที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการบังคับของกฎเกณฑ์ภายในของแต่ละบริษัท ส่งผลให้ บริษัท ทรัพย์ศรีไทย จำกัด (มหาชน) “SST” ในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน ได้อนุมัติจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทให้แก่กองทรัสต์ฯ SSTRT สำหรับลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 เพื่อให้สอดรับกับกองทรัสต์ฯ ที่มีนโยบายการลงทุนในทรัพย์สินหลักประเภทอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ประเภทอาคารคลังเอกสาร คลังสินค้า และทรัพย์สินอื่นใดที่เกี่ยวข้อง
ล่าสุด กองทรัสต์ SSTRT ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อย เพื่อขออนุมัติการออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติม ในจำนวนไม่เกิน 36.53 ล้านหน่วย ที่จะลงทุนในทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 มูลค่าไม่เกิน 190 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษี ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด เป็นทรัสตี และบริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด เป็นที่ปรึกษาการเงิน สำหรับทรัพย์สินที่กองทรัสต์ SSTRT จะเข้าลงทุนในครั้งนี้ เป็นคลังเอกสารในโครงการคลังเอกสารของ บริษัท ทรัพย์ศรีไทย จำกัด (มหาชน) ประกอบด้วย ที่ดิน 4 ไร่ 1 งาน 68.9 ตารางวา และ อาคารคลังเอกสาร จำนวน 4 อาคาร
- อาคารคลังเอกสารหมายเลข36 พื้นที่อาคารประมาณ 1,750 ตารางเมตร
- อาคารคลังเอกสารหมายเลข37 พื้นที่อาคารประมาณ 1,750 ตารางเมตร
- อาคารคลังเอกสารหมายเลข38 พื้นที่อาคารประมาณ 1,750 ตารางเมตร
- อาคารคลังเอกสารหมายเลข39 พื้นที่อาคารประมาณ 1,750 ตารางเมตร
คลังเก็บเอกสาร ทั้ง 4 อาคาร เป็นอาคารเก็บรักษาเอกสารสำคัญ (Document Storage Services Center) ให้แก่ บริษัท ห้างร้าน และหน่วยราชการต่าง ๆ อาทิ เอกสารทางด้านบัญชี เอกสารทางการเงิน เอกสารด้านนิติกรรม ตลอดจนเอกสารข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ที่กฎหมายกำหนดให้เก็บเอกสารอย่างน้อยประมาณ 5-10 ปี
ซึ่งศักยภาพและจุดเด่น ของคลังเก็บเอกสารของ SST คือ การนำเอานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้ง ระบบการจัดเก็บเอกสารอัตโนมัติ AS/RS ที่ทันสมัย มีการจัดเก็บเอกสารในอาคารศูนย์เก็บเอกสารขนาดใหญ่ มีระบบระบายอากาศภายในคลังเอกสารที่ดี มีชั้นสำหรับวางและจัดเก็บเอกสารเป็นชั้นเหล็กสำเร็จรูปแข็งแรงและทนทาน สะดวกต่อการจัดเก็บและดูแล มีระบบการควบคุมการจัดเก็บด้วยระบบคอมพิวเตอร์ มีรหัสบาร์โค้ดที่สามารถค้นหาเอกสารได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษาและให้บริการ มีบริการนำส่งเอกสารที่ต้องการใช้ตรวจสอบได้รวดเร็ว ตลอดจนมีระบบควบคุมดูแลรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงด้วยกล้องวงจรปิด มีระบบการตรวจสอบเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล และป้องกันอัคคีภัย
หลังจากการลงทุนเพิ่มในครั้งนี้ กองทรัสต์ SSTRT จะมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน คลังเอกสาร งานระบบสาธารณูปโภคและอุปกรณ์ เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น เป็น 18 อาคาร จากทรัพย์สิน ณ ปัจจุบัน จำนวน 14 อาคาร ซึ่งจะส่งผลให้มีมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์ฯ แตะที่ระดับ 1,700 ล้านบาท และยังถือว่าเป็นกองทรัสต์ฯ เพียงรายเดียวในประเทศไทยที่เป็นกองทรัสต์ ประเภทคลังเอกสารทรัพย์สินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ ทาง บริษัททรัพย์ศรีไทย จำกัด (มหาชน) “SST” จะเป็นผู้เช่าเหมาทรัพย์สินดังกล่าวทั้งหมด มีกำหนดระยะเวลาการเช่า 10 ปีนับตั้งแต่ได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ให้แก่กองทรัสต์ SSTRT และมีสิทธิต่อสัญญาเช่าอีกคราวละ 3 ปี
ผู้จัดการกองทรัสต์ SSTRT กล่าวเพิ่มเติมว่า ทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ เป็นประเภท Freehold 100% พร้อมทั้งยังได้ประมาณการการจ่ายประโยชน์ตอบแทนต่อหน่วยแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ ภายหลังการลงทุนในทรัพย์สินหลัก เพิ่มเติมครั้งที่ 1 เท่ากับ 0.4183 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 ถึง วันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 คิดเป็นอัตราจ่ายประโยชน์ตอบแทน (Dividend Yield) 7% และมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 1,549 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2564 เป็น จำนวน 1,739 ล้านบาท
@mitihoonwealth