ธนาคารไทยพาณิชย์ แนะเอสเอ็มอีธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม ปรับกลยุทธ์คว้าโอกาส รับเทรนด์ “Healthy – Safety – Save the Earth” มาแรง

51

มิติหุ้น  –  โควิด-19 คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลกในหลากหลายมิติ รวมทั้งยังส่งผลกระทบต่อการดำเนิน ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในเรื่องห่วงโซ่การผลิต ความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป สำหรับเทรนด์ในธุรกิจที่ต้องจับตามองและกำลังมาแรงคือ การหันมาให้ความสำคัญกับการบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม-ที่ปลอดภัย-ดีต่อสุขภาพ-ดูแลสิ่งแวดล้อมและ-รับผิดชอบต่อสังคม-เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอาหารและเครื่องดื่ม ต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อคว้าโอกาสก่อนสาย ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้จัดงานสัมมนา “SME OF THE FUTURE อนาคต SMEs ไทยไปต่ออย่างไรดี รวมผู้เชี่ยวชาญในแวดวงธุรกิจชี้ทางออกให้เอสเอ็มอีปรับกลยุทธ์และคว้าโอกาสทางทองธุรกิจเพื่อตอบรับเทรนด์อาหารและเครื่องดื่มที่กำลังมาแรง

เทรนด์การบริโภคเปลี่ยน ภาคธุรกิจต้องปรับ

นางสาวโชติกา ชุ่มมี ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิต SCB EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่เพียงทำให้เกิดความเสี่ยงและมีส่วนกดดันภาคธุรกิจทั้งในแง่ของกระบวนการผลิตและความต้องการสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็น “ตัวเร่ง” ให้พฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกเปลี่ยนไปอีกด้วย โดยเราพบว่าผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับอาหารและเครื่องดื่มที่ปลอดภัย ดีต่อสุขภาพ กระบวนการผลิตต้องรับผิดชอบต่อสังคมและใส่ใจสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการก็จำเป็นต้องผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์เทรนด์ดังกล่าวข้างต้น พร้อม ๆ ไปกับการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ซึ่งมีความต้องการที่หลากหลายและเฉพาะเจาะจงแตกต่างจากสินค้าทั่วไปในตลาด (Mass Market) รวมไปถึงการเจาะตลาดสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับบน (Premium Market) ซึ่งเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตดี เนื่องจากตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงและได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย

เทคโนโลยีและกฎระเบียบการค้าโลก แต้มต่อในการแข่งขันที่ไม่ควรมองข้าม                                                                                                                

นางสาวโชติกา ให้ความเห็นว่า นอกจากการปรับแผนธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโตเพื่อตอบโจทย์
เทรนด์ในตลาดโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปแล้วนั้น ผู้ประกอบการยังจำเป็นต้องเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้วยการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ทันสมัยเข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการผลิต และลดความเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนแรงงานในอนาคตท่ามกลางการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูณ์ รวมทั้งยังต้องให้ความสำคัญกับเรื่องกฎระเบียบทางการค้าระหว่างประเทศและข้อกีดกันทางการค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers: NTBs) เช่น การทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) การค้ามนุษย์ (TIP Report) มาตรฐานการส่งออกผัก-ผลไม้ ทั้งในส่วนของ GAP (การผลิตทางการเกษตรที่ดีและเหมาะสม)  และ GMP (หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร) ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้จำเป็นต้องให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง

อาหารก็รักษ์โลกได้ ด้วยกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

“ตอนนี้ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (ESG) หรือการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม และมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ โดยธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มักถูกกล่าวหามาตลอดว่าเป็นตัวการหลักทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ทำลายสิ่งแวดล้อมและทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ดังนั้นกระบวนการผลิตสินค้าจะต้องมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ (Food Journey) เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารชิ้นนั้นผลิตมาจากฟาร์มไหน ผลิตเมื่อไร เกษตรกรผู้เพาะปลูกเป็นใคร และขนส่งมาอย่างไร เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้นยังจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมที่อาจจะถูก Disrupt จากสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ ในตลาด เช่น เนื้อสัตว์เทียม (Lab-grown meat) หรือสินค้าที่เป็นโปรตีนจากพืช (Plant-based) ที่ปัจจุบันเริ่มเข้ามาตีตลาดมากขึ้นแล้ว”

Healthy Food ทางเลือกใหม่เจาะกลุ่มสูงวัยและ Gen Z ที่มีกำลังซื้อสูง

ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิต SCB EIC ยังระบุด้วยว่า สองกลุ่มผู้บริโภคที่มีความน่าสนใจและมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น คือ ผู้บริโภคในกลุ่ม Gen Z และ กลุ่มผู้สูงวัย หรือ Aging  Population

กลุ่ม Gen Z จัดเป็นกลุ่มที่มีรายได้และกำลังซื้อสูง อีกทั้งให้ความสนใจกับสินค้าสุขภาพ ปรุงแต่งน้อย แบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และยังต้องการสินค้าที่แตกต่างจากสินค้าทั่วไป อยากทดลองสินค้าใหม่ๆ เช่น โปรตีนจากพืช (Plant-based protein) เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้มีแนวโน้มกินเนื้อสัตว์น้อยลง ขณะเดียวกันสินค้าและบรรจุภัณฑ์ต้องสวยงามน่าสนใจเพราะคนกลุ่มนี้มักจะถ่ายรูปสินค้าลงในโซเซียลมีเดีย

ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุ ถือเป็นอีกกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และใส่ใจสุขภาพ ขณะเดียวกันยังมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์สูง (Brand Loyalty) โดยสินค้าสำหรับผู้สูงอายุจะต้องมีขนาดบรรจุเล็กกว่าคนปกติ เพราะเริ่มบริโภคน้อยลง เนื้อสัมผัสอาหารต้องอ่อนนุ่มเคี้ยวกลืนง่าย เพิ่มสารอาหาร วัตถุดิบและส่วนผสมที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมกับสุขภาพผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันบรรจุภัณฑ์ก็ต้องเปิดได้สะดวกอีกด้วย

พัฒนาสินค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ

นายมิตรดนัย สถาวรมณี Co-Founder แบรนด์ Plantae  เล่าถึงที่มาของแบรนด์ Plantae โปรตีนจากพืชทดแทนเนื้อสัตว์ ว่า เกิดจากความต้องการจะดำเนินธุรกิจอาหารที่เป็นเทรนด์อนาคต จากการคาดการณ์กันว่าในอีก 50 ปีโลกจะเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหาร จากจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือภาคการเกษตรในปัจจุบันปลูกพืชเพื่อใช้เป็นทั้งอาหารมนุษย์ และอาหารสัตว์ ดังนั้นหากมนุษย์สามารถลดการกินเนื้อสัตว์ลง แล้วมาทดแทนด้วยการกินโปรตีนจากพืชโดยตรง ก็จะลดการนำพืชไปผลิตอาหารสัตว์ ลดการขาดแคลนอาหารจากพืชของมนุษย์ในระยะยาว

“อยากจะฝากถึงผู้ประกอบการที่คิดเริ่มต้นธุรกิจ ในมุมมองผมการเลือกสินค้าที่ใช่เป็นสิ่งที่มาก่อน ธุรกิจอาจไม่จำเป็นต้องใหญ่มาก ลองถอยมาทำอะไรที่มันง่าย ถ้าบริษัทคุณเคยใหญ่ระดับหมื่นล้านบาท ถามว่าจะทำอีกหมื่นล้านบาทมันยากนะ ต้องออกมาตั้งเรือใหม่แบบสตาร์ทอัพจริงๆ แล้วจับกลุ่มเป้าหมายให้ชัด พอสินค้าเริ่มขายได้ ค่อยเริ่มมาคิดต่อยอดว่าจะนำเทคโนโลยีอะไรทำใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ธุรกิจใหญ่ขึ้นตามมา” นายมิตรดนัย กล่าว

@mitihoonwealth

https://lin.ee/cXAf0Dp