ยู ซิตี้ ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ สะท้อนการปรับทิศทางธุรกิจสู่กลุ่มบริการทางการเงิน พร้อมลดทุน-ลดพาร์ เดินหน้าล้างขาดทุนสะสมและส่วนต่ำมูลค่าหุ้นเพื่อเตรียมจ่ายปันผล

267

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) “บริษัทฯ” หรือ “U City” ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อสะท้อนการปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินธุรกิจในระยะยาวที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจบริการทางการเงินเป็นหลัก นอกจากการเปลี่ยนชื่อบริษัทแล้ว U City ได้ตอกย้ำแนวทางดังกล่าวด้วยการทยอยขายทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการขายโรงแรมอนันตรา เชียงใหม่ รีสอร์ท แอนด์ สปา ในเดือนมกราคม 2565 การขายหุ้นของบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจโรงแรมในยุโรปในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา รวมทั้งการขายที่ดินอีกหลายผืน รวมมูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท และวันเดียวกันนี้ U City ได้ประกาศขายบริษัทร่วมทุน (JV) และบริษัทย่อยอีกรวม 7 บริษัท ที่ร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กับบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (Noble) ให้กับ
บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หรือ “TNL” ด้วยราคาประมาณ 532 ล้านบาท ทั้งนี้ หากรวมภาระหนี้เงินกู้ยืมที่ U City มีกับริษัทร่วมทุน (JV) และบริษัทย่อยดังกล่าวที่ TNL ต้องชำระคืนให้กับ U City ภายในเดือนมิถุนายน 2566 แล้ว ธุรกรรมนี้จะมีมูลค่ารวมกว่า 2,400 ล้านบาท

นางสาวสรญา เสฐียรโกเศศ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเปลี่ยนชื่อบริษัทจะช่วยสร้างภาพจำและมอบความเข้าใจใหม่แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน แสดงให้เห็นว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้เป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ อีกต่อไป แต่ U City หรือ แรบบิท โฮลดิ้งส์ ได้ปรับทิศทางดำเนินธุรกิจ แล้วกลายเป็นหัวหอกของกลุ่มบีทีเอสในการดำเนินธุรกิจบริการทางการเงิน และสร้าง synergy ร่วมกับบริษัทต่าง ๆ ทั้งภายในกลุ่มบีทีเอส และภายในเครือข่ายบริษัทพันธมิตรภายใต้กลยุทธ 3M ของกลุ่มบีทีเอส”

นางสาวสรญา กล่าวเพิ่มเติมว่า “การประกาศขายบริษัทร่วมทุนกับ Noble ทั้ง 7 แห่ง ให้กับ TNL นับเป็นส่วนหนึ่งของการปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจ และจะสามารถรับรู้รายได้จากการขายได้ทันทีโดยไม่ต้องรอการพัฒนาโครงการดังกล่าวจนแล้วเสร็จ โดยเงินที่ได้จากการขายจะนำมาเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัทฯ รวมทั้งเป็น

แหล่งเงินทุนเพิ่มเติมสำหรับการเข้าลงทุนในธุรกิจบริการทางการเงิน ซึ่งเป็นจะเป็นธุรกิจหลักในระยะยาวของเรา โดยที่ผ่านมา เราได้เข้าลงทุนไปแล้วบางส่วน เช่น การเข้าลงทุนใน Rabbit Life ซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิต รวมถึงการเข้าลงทุนในบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ในส่วนทรัพย์สินด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เหลืออยู่นั้น บริษัทฯ จะทยอยขายออกภายในระยะเวลา 3 ปี”

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการลดทุนจดทะเบียนและการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (ลดพาร์) ของบริษัทฯ จาก 3.20 บาทต่อหุ้น เป็น 1.40 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้จำนวนทุนจดทะเบียนและจำนวนทุนจดทะเบียนชำระแล้วภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงจะลดลงเป็น 47,941,667,251.80 บาท และ 44,546,837,795.60 ตามลำดับ โดยการลดทุน และลดพาร์ในครั้งนี้ จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถชดเชยส่วนต่ำมูลค่าหุ้นสำหรับหุ้นบุริมสิทธิ (U-P) ที่มีอยู่ราว 56,000 บาท ออกไปได้ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ ไม่ติดข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในอนาคตได้ตามกฎระเบียบต่าง ๆ ที่กำหนดไว้

อย่างไรก็ดี ธุรกรรมทั้งหมดนี้ต้องได้รับการอนุมัติโดยผู้ถือหุ้น โดยบริษัทฯ ได้กำหนดวันประชุมวิสามัญ
ผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2565 ในวันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน 2565 เวลา 14.00 น. ชั้น 23 ณ โรงแรมเซ็นทารา
แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ และกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุมดังกล่าว (Record Date) ในวันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2565

@mitihoonwealth

https://lin.ee/cXAf0Dp