มิติหุ้น – นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ตัวชี้ที่สำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงดีอยู่ และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ผ่อนคลาย คาดจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ สหรัฐฯ กลับมาขยายตัวมากกว่าระดับ 3% ในช่วงไตรมาส 3/2565 และไตรมาส 4/2565 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะเข้าสู่ “ภาวะถดถอยที่แท้จริง” ในช่วงครึ่งหลังปี 2566 เพราะคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะขึ้นมาสู่ระดับ 4.25-4.50% ในปีนี้ และ 4.50-4.75% ในปีหน้า และอัตราการว่างงานที่ควรจะต้องสูงกว่าระดับ 5% ขึ้นไป จึงจะทำให้ FED พอใจที่จะกดเงินเฟ้อปรับตัวลงได้
ทั้งนี้ ปัจจุบันทั้ง 3 ดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะหมีครบหมดแล้ว หลังปรับตัวลงมากกว่า -20% จากที่เคยขึ้นสูงสุดในช่วงปลายปีที่แล้ว แต่สถานการณ์ขณะนี้ บล.ทิสโก้มองว่านักลงทุนควรเผื่อใจไว้สำหรับกรณีที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจถลำลึกเข้าสู่ภาวะหมีมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อิงจากการศึกษาภาวะหมีของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในอดีตนับตั้งแต่ปี 2503 เป็นต้นมา บล.ทิสโก้พบว่า จะกินเวลาเฉลี่ยประมาณ 14 เดือน และจะปรับตัวลงเฉลี่ยประมาณ -34% จากจุดสูงสุด เพราะฉะนั้น หากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะหมีเทียบเท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีต อาจเห็นจุดต่ำของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงปลายไตรมาส 1 ถึงต้นไตรมาส 2 ของปีหน้า ที่ระดับดัชนี S&P500 บริเวณ 3,140 – 3,240 จุด หรือคิดเป็นโอกาสการปรับลดลง (Downside) อีกราว 10-12% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ประมาณ 3,600 จุด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ มีลุ้นผลกระทบเชิงบวกจากการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ((US Mid-Term Elections Rally) ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ เฉลี่ย +7.3% ด้วยระดับความเชื่อมั่นสูงถึง 86% น่าจะเป็นความหวังหนึ่งที่อาจช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนได้ หลังจากที่ปลายไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทิ้งตัวลงอย่างหนักแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี
สำหรับการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนช่วงกลางเดือนนี้ หากจีนส่งสัญญาณผ่อนคลายการดำเนินนโยบายการเงินและนโยบาย “Zero Covid” รวมทั้งการเร่งรัดนโยบายการคลังเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ บล.ทิสโก้คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองเชิงบวกต่อผลการประชุมดังกล่าว เนื่องจากไทยพึ่งพาการค้าและการท่องเที่ยวจากจีนมากเป็นอันดับ 1 น่าจะได้ประโยชน์สูง
ด้านงบแบงก์ที่จะทยอยประกาศผลประกอบการในช่วงกลางเดือนนี้ บล.ทิสโก้คาดว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของบล.ทิสโก้ทั้ง 7 แห่งจะออกมาดี มีกำไรสุทธิโดยรวมอยู่ที่ 5.08 หมื่นล้านบาทใน 3/2565 เพิ่มขึ้น 28.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และเพิ่ม 2.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน หลัก ๆ จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและการเติบโตของสินเชื่อ ขณะที่การตั้งสำรองฯ ในไตรมาสนี้คาดว่าจะลดลงได้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
โดยสรุป ถึงแม้ตลาดหุ้นโลกช่วงนี้จะมีความผันผวนสูง และกดดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตาม แต่ตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่ดีกว่าตลาดหุ้นโลก (Outperform) และเป็นไปตามที่บล.ทิสโก้มองไว้อยู่แล้วตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา จึงมองว่าเป็นจังหวะซื้อสะสมช่วงสุดท้ายของปีนี้ หุ้นที่บล.ทิสโก้แนะนำในเดือนตุลาคมนี้ จะเน้นการลงทุนในหลาย ๆ ธีม เพื่อกระจายความเสี่ยงได้แก่ 1. ธีมหุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยปรับขึ้น แนะนำ BBL 2. ธีมหุ้น Re-opening ธุรกิจมั่นคงมีความทนทานสูงต่อภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ แนะนำ BDMS และ BEM 3.ธีมหุ้นที่มีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัว เด่น DTAC, KISS และ PIMO 4. ธีมหุ้น Bottom Fishing แนะนำ BANPU และ MTC
เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่บล.ทิสโก้แนะนำในเดือนตุลาคม คือ BANPU, BBL, BDMS, BEM, DTAC, KISS, MTC และ PIMO ด้านแนวรับสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,575 – 1,580 จุด แนวรับต่อไปที่ 1,530-1,550 จุด และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,600 – 1,610 จุด และแนวต้านต่อไปที่ 1,630 จุด 1,650 จุด และ 1,675 จุดตามลำดับ
@mitihoonwealth