มิติหุ้น – หุ้น TEGH น่าสนใจมีอัพไซด์อีกราวร้อยละ 49.35 – 55.84 เมื่อเปรียบเทียบกับราคาเป้าหมายที่โบรกเกอร์ให้ไว้ในช่วงราคา 6.9 – 7.2 บาท ด้าน บล.หยวนต้า คาดการณ์กำไรปี 2565 แตะ 805 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 24.5 จากปีก่อน และปี 2566 ที่ 892 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 9.1 พร้อมคาดปี 67 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจะเป็น Upside ในระยะยาว
บทวิเคราะห์บล.กสิกรไทย ระบุว่า ฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ของหุ้นบมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (“บริษัทฯ”) หรือ TEGH อยู่ในกรอบ 7.10 บาท/หุ้น อิงจากเป้า PER ที่ 7.1 เท่า โดยฝ่ายวิจัยคาดว่ายอดขายยางของกลุ่มบริษัทฯ จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ร้อยละ 16 ระหว่างปี 2565 – 2567 หนุนจากอุปสงค์ยางพาราไทยที่เพิ่มขึ้น และการขยายกำลังการผลิต คาดว่าราคายางพาราจะปรับเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวขึ้นและอุปทานที่ลดลง นอกจากนี้ ยังคาดว่าเงินบาทที่อ่อนแอจะส่งผลบวกต่อกลุ่มบริษัทฯ เนื่องจากครึ่งหนึ่งของยอดขายมาจากการส่งออก ส่วนกำไรปกติคาดว่าจะมี CAGR ที่ร้อยละ 18 ระหว่างปี 2565 – 2567 หนุนจากรายได้ที่มีแนวโน้มขาขึ้นซึ่งคาดว่าจะไปถึง 2 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 ส่วนต่างราคาระหว่างยางธรรมชาติและวัตถุดิบคาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่คาดความประหยัดต่อขนาดจะดีขึ้นจากต้นทุนคงที่ที่คาดเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลง และคาดว่าอัตราส่วนสภาพคล่องจะเพิ่มขึ้นจาก 1.0 เท่า ในปี 2564 มาอยู่ที่ 1.3 เท่า ในปี 2565 ขณะที่คาดว่าสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (D/E ratio) จะลดลงจาก 2.1 เท่า ในปี 2564 มาอยู่ที่ 1.1 เท่า ในปี 2565 หลังได้รับเงินทุนจาก IPO
บทวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่าฝ่ายวิจัยได้แนะนำ ซื้อหุ้น TEGH โดยให้ราคาเหมาะสมสำหรับสิ้นปี 2566 ที่ระดับ 7.20 บาท อิงวิธี SOTP เทียบเท่ากับ PER 2566 ที่ 8.7 เท่า โดยคาดการณ์กำไรปีนี้ที่ 805 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 24.5 จากปีก่อน และปี 2566 ที่ 892 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 9.1 จากปีก่อน และคาดจะทำระดับสูงสุดใหม่ถึงปี 2567 เป็นอย่างน้อย โดยมีธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเป็น Upside ระยะยาว โดยฝ่ายวิจัยมองว่า แม้อุตสาหกรรมยางพาราอยู่ในช่วงที่มีความผันผวนจากการล็อกดาวน์ในจีนและความกังวลเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐและยุโรป แต่ธุรกิจของ TEGH จะเติบโตได้สูงกว่ากว่าอุตสาหกรรมโดยรวมจากการขยายกำลังการผลิตใหม่ของธุรกิจยางพารา หลังเครื่องจักรเดิมถูกใช้เต็มประสิทธิภาพแล้ว
เรามีมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มบริษัทฯ ที่คาดจะเติบโตสูงได้ต่อเนื่องหลังการไอพีโอจากการลงทุนขยายกำลังการผลิตในทุกธุรกิจ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาการผลิตให้มีประสิทธิภาพ Product Mix ที่ดีขึ้นและดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงจะหนุนอัตรากำไรสุทธิต่อเนื่องในระยะยาว
ขณะที่บทวิเคราะห์ของบล.ทรีนีตี้ แนะนำ ซื้อ โดยให้ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 6.90 บาท โดยกลุ่มบริษัทฯ มีธุรกิจยางธรรมชาติ ธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบและธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจมากว่า 34 ปี มีจุดเด่นด้านคุณภาพและประสิทธิภาพในด้านการผลิตที่ดี เป็นที่ยอมรับชองพันธมิตรทางธุรกิจซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำ โดยในปี 2565 คาดกำไรเติบโตสูงจากราคายางและน้ำมันปาล์มดิบที่สูงต่อเนื่อง โดยกลุ่มบริษัทฯ มีแผนจะขยายกำลังการผลิตยางแท่ง ปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงานผลิตน้ำมันปาล์ม รวมถึงขยายกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่องในระยะ 3 ปีข้างหน้า โดยคาดกำไรปี 2566 – 2567 ที่ 821 ล้านบาท และ 872 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 12 จากงวดเดียวกันปีก่อนและร้อยละ 6 จากงวดเดียวกันปีก่อน
ทั้งนี้หากนำราคาเป้าหมายของแต่ละโบรกเกอร์มาเปรียบเทียบกับราคาปิดของ TEGH เมื่อวานนี้ที่ 4.62 บาท พบว่ายังมีอัพไซด์มากถึงร้อยละ 49.35-55.84
โบรกเกอร์ | ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) | อัพไซด์(%)
|
บล.กสิกรไทย | 7.10 | 53.68 |
บล.ทรีนีตี้ | 6.90 | 49.35 |
บล.หยวนต้า | 7.20 | 55.84 |
บล.เอเซียพลัส | 6.90 | 49.35 |
*เปรียบเทียบกับราคาปิด 4.62 บาท (ณ วันที่ 3 ต.ค.65)
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp