มิติหุ้น – ล่าสุด วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานอินเตอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) ได้จัดการซักซ้อมประชุมผู้ถือหน่วยลงทุน (Pre-EGM) ก่อนที่จะมีการจัดประชุมจริงในวันที่ 18 ตุลาคม 2565 สำหรับอนุมัติในการเข้าซื้อกิจการ ของ 3BB และ JASIF โดย AIS ซึ่งมีวาระในการอนุมัติ 3 เรื่องหลักๆ ได้แก่ 1.1 การอนุมัติให้ AWN เข้าทำรายการ 1.2 การแก้ไขสัญญาจัดหาผลประโยชน์จากเส้นใยแก้วนำแสง และ 1.3 การแก้ไขสัญญาปลีกย่อยที่เกี่ยวข้อง
สำหรับการตัดสินใจในการอนุมัติหรือไม่อนุมัติของผู้ถือหน่วย JASIF นั้น เป็นประเด็นที่มีความสำคัญและเป็นการเดิมพันอนาคตของกองทุนรวม JASIF ว่าจะยังคงความสามารถในการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องหรือจะอยู่กับความเสี่ยงร่วมกับผู้เช่าที่ไม่มีความสามารถในการจ่ายค่าเช่า และส่งผลกระทบต่อการจ่ายปันผลของกองทุนในอนาคต ทำให้ผลตอบแทนที่เคยมั่นคงและดูเหมือนว่าสูง หายวับไปกับตา
โดยในการประชุม Pre-EGM ที่ผ่านมา ทาง บลจ.บัวหลวง ในฐานะผู้จัดการกองทุน JASIF ได้ออกมาชี้แจงประเด็นต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจแก่นักลงทุนที่ยังคงมีความสงสัย เพื่อจะได้ตัดสินใจโดยมองข้อมูลต่างๆอย่างรอบด้าน
การแก้ไขสัญญาค่าเช่าจะทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับค่าเช่าน้อยลงหรือไม่ ?
การปรับโครงสร้างสัญญาค่าเช่า ทั้งการเพิ่มเติมการจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าและการปรับโครงสร้างการชำระหนี้ จะทำให้ผลตอบแทนในระยะแรกของกองทุนลดลงเล็กน้อยในระยะแรก แต่หากคิดมูลค่าโดยรวมตลอดสัญญาแล้ว สัญญาที่เสนอโดย AWN ที่จะไปสิ้นสุดในปี 2580 จะทำให้กองทุน JASIF จะได้รับค่าเช่าตลอดอายุสัญญามากขึ้นกว่า 20% เมื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างค่าเช่าเดิม แม้สัญญาเดิมจะมี option ในการขยายสัญญาไปอีก 10 ปีหลังหมดสัญญาในปี 2575 แต่ปัจจัยหนึ่งที่ต้องพิจารณาด้วยก็คือ การจะใช้ option นั้นได้ 3BB ต้องมีรายได้มากกว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วเป็นไปได้ยากมาก
นอกจากนั้น ที่ปรึกษาการเงินอิสระหรือ IFA ได้มีการระบุในรายงานที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อประกอบการพิจารณาของผู้ถือหน่วยฯ ว่า ณ เวลาอีก 12 เดือนข้างหน้า TTTBB มีโอกาสที่จะเกิดภาวะ Cash shortage หรือกระแสเงินสดไม่เพียงพอ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการจ่ายค่าเช่าของ TTTBB ต่อ JASIF และส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกองทุนได้
การแก้ไขสัญญาห้ามแข่งขัน จะทำให้ AWN มีโอกาสไม่ต่อสัญญาเพิ่มขึ้นใช่หรือไม่?
สำหรับวาระสำคัญที่จะส่งผลให้ JASIF ไม่ต้องเจอผลกระทบที่หนักหนาและสุ่มเสี่ยงต่อกองทุนอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่วาระ 1.1 การพิจารณาอนุมัติให้ JAS ดำเนินการขายหน่วยลงทุน JASIF และ TTTBB ให้แก่ AWN ได้ รวมถึงการแก้ไขข้อห้ามในการแข่งขันกับกองทุนรวม ซึ่งการอนุมัติในวาระดังกล่าวจะทำให้ AIS สามารถดำเนินการซื้อ 3BB และ JASIF ได้ ซึ่งการอนุมัติวาระนี้ TTTBB จะได้บริษัทแม่ใหม่ที่มีความแข็งแกร่งด้านการเงิน และพร้อมสนับสนุน TTTBB ไม่ให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นผลกระทบแบบลูกโซ่ไปยังกองทุน JASIF
ในขณะที่ประเด็นการแก้ไขข้อห้ามในการแข่งขันฯ แม้จะมีหลายฝ่ายกังวล แต่หากพิจารณาอย่างถ่องแท้จะพบว่า ในสัญญาเดิมหาก 3BB และ JASIF ไม่สามารถตกลงกันในการต่อสัญญาหลังจากสิ้นสุดสัญญา ภายในระยะเวลา 3 ปีก่อนสิ้นสุดสัญญา 3BB สามารถสร้างเส้นใยแก้วนำแสงในพื้นที่ทับซ้อนกันได้ โดยไม่ถือเป็นการผิดสัญญาแต่อย่างใด ซึ่งหมายความว่าสัญญาการห้ามแข่งขันเดิมแทบไม่ส่งผลอย่างไรหากผู้เช่ามีความประสงค์ในการไม่ต่อสัญญาอยู่แล้ว
นอกจากนั้นที่ปรึกษาการเงินอิสระยังชี้ให้เห็นว่า ค่าใช้จ่ายในการเดินสายใยแก้วนำแสงทดแทนกองทุนทั้งหมด 1.6 ล้านคอร์กิโลเมตร จะอยู่ที่ประมาณ 1หมื่นล้านบาท ซึ่งมีราคาใกล้เคียงกับค่าเช่าที่ต้องจ่ายกองทุนเพียง 1 ปี เท่านั้น และกระบวนการลากสายใยแก้วนำแสงใหม่จะใช้ระยะเวลาเพียง 18-24 เดือนเท่านั้น ทำให้แรงจูงใจที่ 3BB จะต่อสัญญาเดิมกับกองทุน JASIF ดูจะไม่คุ้มค่า
ดังนั้นหากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับการต่อสัญญาหากมีการยกเลิกข้อห้ามนี้ ในความเป็นจริงการเปลี่ยนแก้ไขข้อห้ามนี้จะไม่เป็นการเพิ่มหรือลดโอกาสในการต่อสัญญาเช่ากับกองทุนอยู่แล้ว เพราะแม้จะยังคงใช้ข้อบังคับเดิมก็มีความเสี่ยงในการไม่ต่อสัญญาเช่นเดียวกัน
18 ตุลาคม รายย่อยเป็นปัจจัยหลักตัดสินชะตา JASIF
จากรายชื่อผู้ถือหน่วยลงทุนฯ ล่าสุดพบว่าเกือบ 80% เป็นการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย ทำให้เสียงของรายย่อยจึงเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางของ JASIF ว่าจะยอมรับผลตอบแทนระยะสั้นที่ดูสูงกว่า แต่อยู่บนความเสี่ยงและความไม่แน่นอนดังเช่นในปัจจุบัน หรือจะอนุมัติให้กองทุนรับผลตอบแทนที่มั่นคงและมากกว่า ซึ่งจะตรงตามความต้องการของนักลงทุนส่วนใหญ่ใน JASIF ที่คาดหวังความมั่นคงของกระแสเงินสดจากเงินปันผล ทั้งหมดนี้นักลงทุนรายย่อยจะเป็นผู้กำหนดด้วยตัวเอง ในการใช้สิทธิ์ในที่ประชุมผู้ถือหน่วยลงทุน วันที่ 18 ตุลาคม 2565 นี้.
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp