มิติหุ้น – บมจ. พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ในระบบจ่ายไฟฟ้า รวมถึงผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 21 ต.ค. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,906.48 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ ว่า “PCC”
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บมจ. พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “PCC” ในวันที่ 21 ตุลาคม 2565
PCC ดำเนินธุรกิจโดยการถือหุ้นบริษัทอื่น (holding company) ประกอบด้วย 3 ธุรกิจหลัก คือ 1) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ในระบบจ่ายไฟฟ้า 2) ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงและสายส่งไฟฟ้าแรงสูง รวมถึงผลิตและติดตั้งระบบควบคุม และ 3) ลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน
PCC มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO 1,226.62 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 919.62 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก 307 ล้านหุ้น โดยเสนอต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้มีอุปการคุณ บุคคลที่มีความสัมพันธ์ และกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท ในระหว่างวันที่ 10-12 ตุลาคม 2565 ในราคาหุ้นละ 4.00 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,228 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,906.48 ล้านบาท โดยมีธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
นายกิตติ สัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า PCC มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจเกือบ 40 ปี และมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรตามแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืน การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงนับเป็นก้าวสำคัญของบริษัทที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ ซึ่ง PCC เล็งเห็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ด้วยระบบตลาดแบบดิจิทัลและแนวทาง Total Customer Solutions ทั้งนี้ PCC มีแผนจะนำเงินจากการระดมทุนไปใช้ในการก่อสร้างศูนย์การขายและการตลาด ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
PCC มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองตามกฎหมายของแต่ละปี ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงไปจากอัตราที่กำหนดไว้ โดยขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน สถานฐานะการเงิน แผนขยายงานในอนาคต และความเหมาะสมอื่น ๆ ที่ทางคณะกรรมการบริษัทเห็นสมควร
ทั้งนี้ บริษัทจะมีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ ครอบครัวสัมฤทธิ์ ถือหุ้น 20.14% ครอบครัวณัฐชยางกุล ถือหุ้น 12.62% ครอบครัวเสนีย์มโนมัย ถือหุ้น 7.27% ครอบครัวจุฬานุตรกุล ถือหุ้น 6.17% และครอบครัวลิขิตสินโสภณ ถือหุ้น 5.18%
@mitihoonwealth