มิติหุ้น – โบรกฯ ประเมินราคาพื้นฐาน PCC อยู่ที่ระหว่าง 4.70-4.80 บาท คาดผลกำไรปี 2565-2566 เติบโตด้วย CAGR กว่าร้อยละ 39.2 จากการเพิ่มกำลังการผลิตของหม้อแปลงไฟฟ้า-ตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้า (PMW) จากกำลังการผลิต 2,000 ถังต่อปี เป็น 7,500 ถังต่อปี รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตตู้โลหะสำหรับตู้สวิตช์เกียร์ และตู้สวิตช์บอร์ด อุปกรณ์ควบคุม จากกำลังการผลิต 2,000 ตู้ต่อปีเป็น 3,200 ตู้ต่อปีและโรงงานผลิตในกัมพูชาหนุน
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ระบุถึงความน่าสนใจในการลงทุน PCC คือ 1. ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ในระบบจำหน่ายไฟฟ้าแบบครบวงจร ที่เติบโตพร้อมกับแผนการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศอิงตามแผน PDP 2018 2.และมีธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงและสายไฟฟ้าแรงสูง พร้อมผลิตติดตั้งระบบควบคุมสำหรับระบบไฟฟ้าอัจฉริยะและผลิตมิเตอร์อัจฉริยะ (Intelligent Grid) โดยการเติบโตในปี 2565 – 2566 มาจากการที่ EGAT มีงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 23 โครงการ รวมถึง PEA, MEA มีแผนที่จะปรับปรุงระบบสายไฟฟ้าให้สามารถรองรับการจ่ายไฟฟ้าที่ซับซ้อน และการนำสายไฟฟ้าลงดิน 3. นอกจากนี้บริษัทมีโรงไฟฟ้าชีวมวลสงขลาไบโอแมส และโรงไฟฟ้าชีวมวลสงขลาไบโอเพาเวอร์ มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 40 และ 76 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายที่ 18.2 เมกะวัตต์ (11.5 เมกะวัตต์คิดตามอัตราส่วนการถือหุ้น)
โดยประเมินแนวโน้มผลประกอบการในปี 2565 – 2566 คาดกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 343 ล้านบาท และ 393 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิร้อยละ 69 และ 15 ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตของหม้อแปลงไฟฟ้า (PEM) ตลอดจนการเปลี่ยนเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตให้เป็นเครื่องจักรอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพสูง เช่นเดียวกันกับการเพิ่มกำลังการผลิตของตัวถังหม้อแปลงไฟฟ้า (PMW) จากกำลังการผลิต 2,000 ถังต่อปี เป็น 7,500 ถังต่อปี รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตตู้โลหะสำหรับตู้สวิตช์เกียร์ และตู้สวิตช์บอร์ด อุปกรณ์ควบคุม จากกำลังการผลิต 2,000 ตู้ต่อปีเป็น 3,200 ตู้ต่อปีและมีแผนที่จะขยายโรงงานผลิตไปยังกัมพูชาซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ได้ในต้นปี 2566 รวมถึงการทำธุรกิจปลูกกัญชงในระบบปิดที่คาดว่าจะรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์ภายในปี 2565
ทั้งนี้ได้ใช้วิธีประเมินมูลค่าหุ้น ได้ราคาเหมาะสมปี 2566 ที่ 4.8 บาท ซึ่งมาจากการประเมินมูลค่าหุ้นด้วย PE Ratio เทียบกับบริษัทฯใกล้เคียงในตลาด โดยหุ้นที่เรานำมาเปรียบเทียบได้แก่ QTC ซึ่งประกอบธุรกิจขายหม้อแปลงไฟฟ้า AKR ซึ่งประกอบธุรกิจขายหม้อแปลงไฟฟ้าและบริการซ่อมบำรุงและรับออกแบบติดตั้งรวมทั้งก่อสร้างสถานีไฟฟ้า และ GUNKUL ซึ่งประกอบธุรกิจผลิต จัดหา และจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า รับเหมาก่อสร้าง และให้บริการบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า โดยใช้ค่า PE เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี (21/08/2563 – 22/8/2565) เท่ากับ 15 เท่า ในขณะที่ประมาณการ EPS 2566F อยู่ที่ 0.32 บาท ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 4.8 บาท
บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ประมาณการว่า PCC จะมีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 25.4% CAGR ในปี FY21-24F เพิ่มขึ้นจากโครงการในอนาคตที่การไฟฟ้ามีแผนจะปรับโครงข่ายระบบไฟฟ้าทั่วประเทศ ทั้งนี้ ประเมินว่าบริษัทฯ มีโอกาสในการเติบโตอีกมาก เนื่องจาก บริษัทฯ เป็นเพียง 1 ใน 6 เจ้าที่ได้รับการรับรองจากการไฟฟ้าให้ผ่านการคัดกรองให้เข้าทำการประมูลงานส่วนใหญ่ได้
โดยใช้วิธีประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้น PCC โดยใช้ P/E เฉลี่ยที่เป้าหมายในปี FY23 ของ GUNKUL QTC TRT DEMCO ACE และ SSP เนื่องจาก บริษัทฯ เหล่านี้มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่ใกล้เคียงกับบริษัทในเครือของ PCC โดย average ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ตลาดให้ Forward P/E ที่ 15.8 เท่า เราจึงคาดว่า P/E เป้าหมายที่เหมาะสมอยู่ที่ค่าเฉลี่ยที่ 15.8 เท่า จากสมมติฐานหลักในปี 2023 ภาครัฐกลับมาดำเนินกิจกรรมปกติ และแผนงานที่จะพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศ จะช่วยเพิ่มยอดขายให้บริษัทในปี 2023F ที่ 4,692 ล้านบาท เติบโต 2.7% และ EPS อยู่ที่ 0.30 บาท เมื่อคำนวณกับระดับ P/E เป้าหมายที่ 15.8 เท่า เราจะได้ราคาเป้าหมายในปี 2023 ของ PCC อยู่ที่ 4.76 บาท
ขณะที่บทวิเคราะห์บล.กสิกรไทย คาดว่ากำไรสุทธิ ในปี 2565-2567ของ PCC จะเติบโตขึ้น 38%,38% และ 10% ตามลำดับ หรือมี CAGR ที่ 28% โดยกำไรที่เติบโตแข็งแกร่งในปี 2565 จะมีแรงขับเคลื่อนหลักจากฐานที่ต่ำผลจากวิกฤติโควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่รายได้และอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) และสัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลงจากการประหยัดต่อขนาดที่ดีขึ้น จะช่วยผลักดันการเติบโตของกาไรในปี 2566-67 โดยคำนวณราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 4.70 บาท/หุ้น หรือสะท้อนเป้า market cap ที่ 5.8 พันลบ. ราคาเป้าหมายอิงจากการใช้ตัวคูณมูลค่าโดยอิงจากข้อมูลของกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งนี้ใช้เป้าหมาย PER ปี 2566 ที่ 15 เท่า ซึ่งสมเหตุสมผลหากพิจารณาจากมูลค่าหุ้นของคู่แข่งโดยตรงในปี 2566 และมูลค่าหุ้นของกลุ่มก่อสร้าง
ส่วนบทวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ประเมินกำไรสุทธิปี 2022E-23E ที่ 305 ล้านบาท และ 385 ล้านบาท ตามลำดับ หรือเติบโต 38% CAGR 2021-23E โดยมี key driver หลักจากการฟื้นตัวของธุรกิจหลัก (PEM, PSP) ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งมอบงานได้มากขึ้นและประมูลงานเพิ่มเติมได้หลังจากผ่านช่วง COVID-19 ซึ่งทำให้ผลประกอบการสะดุดลง หนุนรายได้รวมในปี 2022E-23E ที่ 4.6 พันล้านบาท และ 4.8 พันล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 15% CAGR 2021-23E ในขณะที่GPM ในปี 2022E-23E ประเมินที่ 26% (-1ppt YoY) และ 27% (+1ppt YoY) ตามลำดับ ยังคงได้รับผลกระทบจากงานมาร์จิ้นต่ำ ในปี 2022E แต่จะทยอยฟื้นตัวโดยคาดการแข่งขันจะลดความรุนแรงลงจากปริมาณงานที่กลับเข้ามาในตลาดหลัง COVID-19 ผ่อนคลาย โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 4.70 บาท อิง PER 15x (Peers average +1SD ให้ premium PCC จากมาร์จิ้นที่ดีกว่า) ทั้งนี้ key catalyst คือ การประกาศแผน PDP ฉบับใหม่ของไทย ซึ่งจะทำให้โครงการที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าทั้งภาครัฐและเอกชนออกมามากขึ้นในอนาคต
และบทวิเคราะห์ บล.เอเอสแอล ประเมินรายได้รวมปี 2565F-2568F เท่ากับ 4.7 พันล้านบาท (+28.8%YoY), 5.1 พันล้านบาท (+9.0%YoY), 5.4 พันล้านบาท (+6.3%YoY) และ 5.8 พันล้านบาท (+7.6%YoY) ตามลำดับ ขยายตัวเฉลี่ยต่อปีแบบ CAGR ที่ 7.6% ขณะที่กำไรสุทธิเราคาดการณ์ 262 ล้านบาท (+29.2%YoY), 361 ล้านบาท (+37.9%YoY), 419 ล้านบาท (+16.2%YoY) และ 469 ล้านบาท (+11.8%YoY) ตามลำดับ ขยายตัวเฉลี่ย ต่อปีแบบ CAGR ที่ 21.4%
โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมสิ้นปี 2566 เท่ากับ 4.77 บาท/หุ้น ด้วยวิธี SOTP (Sum of the part) โดยได้มูลค่าของบริษัทที่ไม่รวมธุรกิจ PPP จะอยู่ที่ 3.92 บาท/หุ้น อิง PE ที่ 14.85 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี ของกลุ่ม (QTC, AKR, GUNKUL และ AI) โดย Valuation ค่อนข้างน่าสนใจเนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิค่อนข้างแข็งแกร่ง และล่าสุด PCC ชนะการประมูล ระบบส่งไฟฟ้างานจัดหาและจ้างก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 500 kV ทุ่งสง – สงขลา 3 ของ EGAT มูลค่า 1.53 พันล้านบาท หนุนการเติบโตของผลประกอบการในปี 2566 ส่วนธุรกิจ PPP ได้มูลค่า 0.85 บาท/หุ้น จากโรงไฟฟ้าที่COD แล้ว 3 โครงการ ตามสัดส่วนที่ PCC ถือหุ้น
@mitihoonwealth