สแกนหุ้น‘กลุ่มพลังงาน’ เข้าชิงโรงไฟฟ้ารัฐกว่า5000MW

1766

 

มิติหุ้น-โลกในยุคปัจจุบันมีการพัฒนาและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ถ้วนมีผลทำให้ความต้องการด้าน “พลังงาน” ในประเทศพุ่งสูงขึ้น ดังนั้นภาครัฐบาลจึงเตรียมเร่งขับเคลื่อนนโยบายภาคพลังงานอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมมีเป้าหมายสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถมุ่งสู่พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนไดออกไซด์)ให้เป็นศูนย์

ดังนั้นในช่วงครึ่งหลังปี 2565 ภาครัฐบาลจึงมีแผนผลักดัน “โครงการพลังงานสะอาด” ออกมาหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานขยะ พลังงานชีวภาพ และพลังงานความร้อนใต้พิภพ คาดกำลังการผลิตราว 5,000-7,000 MW  คาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนได้ในเดือน พ.ย.65 นี้

 

10 หุ้นเข้าชิงพลังงานรัฐ

ด้าน “บล. เอเชียเวลท์” เผยว่า จากปัจจัยข้างต้น จะส่งผลให้หุ้นใน “กลุ่มพลังงานทดแทน” กลับมามีเสน่ห์อีกครั้งเพราะจะเริ่มเห็นหุ้นในนี้ ต่างวางยุทธศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนหาฐานเงินทุน หรือแม้กระทั้ง “การร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในไทยและต่างประเทศ” เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง หวังช่วงชิง “โครงการโรงไฟฟ้าภาครัฐ”

โดยจากการเข้าสำรวจพบว่า หุ้นที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการในครั้งนี้ ได้แก่  BGRIM ,BANPU, BCPG, TPIPP, SCN, SCI, EA, GUNKUL, GULF, DEMCO เป็นต้น โดยสอดคล้องกับ BANPU ที่กำลังเดินหน้าขยายพลังงาน เพื่อหวังบรรลุเป้าหมายมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 6,100 MW ภายในปี 68 จากเดิม 1,600 MW มั่นใจจะหนุนผลประกอบการเติบโตโดดเด่นอย่างแน่นอน แนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 17 บาท

 

BCP-TPIPPเร่งเครื่องเต็มสูบ

ขณะที่ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น BCPG  ราคาเป้าหมาย 17 บาท จากภาพรวมปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 320.2 MW รวมถึงคาดว่าปี 66 บริษัทพร้อมเดินหน้าประมูลไฟฟ้าพลังงานทดแทนภาครัฐ พร้อมวางเกมใหญ่ธุรกิจคาร์บอนเครดิต พร้อมพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขาย เป้าสู่ Net Zero เร่งด่วนปี 2030

ส่วน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น TPIPP ราคาเป้า 5 บาท ซึ่งบริษัทตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 580  MW  ภายในปี 68 จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 440 MW และเตรียมที่จะเข้าร่วมประมูลไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ที่ไม่มีต้นทุนไม่เกิน 90 MW ช่วงปี 65-73

SCN ก็มีแผนเข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เช่นกัน โดยบริษัทมีพื้นที่รองรับกำลังการผลิตรวมราว 30-40 MW ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 220 MW ด้านนักวิเคราะหลักทรัพย์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้า 4.16 บาท

สำหรับ SCI บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมยื่นประมูลงานโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในQ4/65 ซึ่งโครงการมีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 100 MW และบริษัทร่วมทุนมีแผนที่จะร่วมประมูลโรงไฟฟ้าภาครัฐอีกด้วย

 

EA-GUNKUL-DEMCOผนึกพันธมิตร

ด้าน  EA ให้ความเห็นว่าบริษัทมีความสนใจเข้าร่วมประมูลโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งบริษัทได้เตรียมความพร้อมในด้านพื้นที่ และยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรติดตั้งเสาวัดลมในพื้นที่ที่เตรียมไว้แล้ว ปัจจุบันบริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 664 MW แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 278 MW  และ โรงไฟฟ้าจากพลังงานลม 386  MW  โดย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะ “ซื้อ” EA ราคาเป้า 107 บาท

GUNKUL ได้ลงนามสัญญาร่วมมือกับ “บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF” ในส่วนของการลงทุน และพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน การร่วมมือในครั้งนี้ คาดหวังจะได้สัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวม 1,000 MW ภายใน 5 ปี จากปัจจุบัน GUNKUL มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 655 MW  และGULF มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมราว 1,000 MW  โดย “บล. โนมูระ พัฒนสิน”  แนะ “ซื้อเก็งกำไร” หุ้น GUNKUL ราคาเป้า 5.80 บาท และ หุ้น GULF ราคาเป้า 55.50 บาท

อีกทั้ง DEMCO ได้ตั้งเป้าขยายการลงทุนในโครงการ Solar Rooftop แตะ 20 MW ภายในปี 66 โดยบริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 61 MW  แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าจากพลังงานลม 58 MW  และโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 3 MW รวมถึงบริษัทเตรียมเข้าประมูลโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของภาครัฐอีกด้วย

 

 BGRIM ลุยทำดีล M&A

BGRIM ก็อยู่ระหว่างการศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมทั้งในไทยและต่างประเทศ คาดหวังมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 7,200 MW. ภายในปี 68 และ 10,000 MW ภายในปี 73 ปัจจุบันมีสัญญาในมือแล้ว 53 โครงการ รวม 3,254 MW โดย “บล.เคทีบีเอสที” แนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 45 บาท

ไม่เพียงเท่านั้น “คุณนพเดช กรรณสูต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงินและบัญชี BGRIM  เผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างทำดีล M&A โรงไฟฟ้าในเวียดนาม, เกาหลีใต้ และกลุ่มประเทศยุโรป เพื่อบรรลุเป้าหมายมีโรงไฟฟ้าในมือไม่น้อยกว่า 1,000 MW ในปีนี้ ส่งผลงาน Q4/65 จะเติบโตต่อเนื่อง จากการรับรู้กำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้น

กระทรวงพลังงานได้กำหนดเป้าหมายสู่พลังงานสะอาดและสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ไปอีก 49 ปีข้างหน้า (ปี 2608-2613) ซึ่งในช่วงแรก (ปี 2564-2573) ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจกที่ 20-25%  ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะยังคงเห็นภาครัฐบาลจะเร่งเดินหน้าออกโครงการพลังงานต่อเนื่องมากในทุกๆปี

@mitihoonwealth

https://lin.ee/cXAf0Dp