มิติหุ้น – นายพีรพันธ์ จิวะพรทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) (COLOR) ผู้ผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกมาสเตอร์แบตซ์ เม็ดพลาสติกคอมพาวด์ และสีผสมพลาสติกชนิดผง เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 3 /2565 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565) มีกำไรสุทธิ 17.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.5 % เทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 14.7 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวม 322 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8 % เทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 299 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 มีกำไรสุทธิ 46 ล้านบาท และมีรายได้รวม 937 ล้านบาท
ปัจจัยที่สนับสนุน เนื่องจากยอดขายในส่วนธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติก ซึ่งเป็นธุรกิจหลักมียอดขายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับพลาสติกที่เกี่ยวข้องกับสินค้า บรรจุภัณฑ์ อุปโภคบริโภค และผลิตภัณฑ์พลาสติกเกี่ยวข้องอื่นๆ ยังมีคำสั่งซื้อต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทฯก็สามารถบริหารจัดการควบคุมต้นทุนให้ลดลงได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การเติบโตของผลกำไรในไตรมาส 3/2565 เป็นที่น่าพอใจมากและเชื่อว่าในไตรมาส 4/2565 ยังมีทิศทางทีดี เพราะบริษัทฯเห็นคำสั่งซื้อที่เข้ามาของกลุ่มลูกค้า Packaging ที่ต้องการสต็อกสินค้าพร้อมขายในช่วงเทศกาลต่าง ๆ เช่น ปีใหม่ และยาวไปถึงเทศกาลตรุษจีนในปีหน้า ขณะที่อีก 2 ธุรกิจก็ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง
สำหรับปี 2565 บริษัทฯยังตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15% โดยจะรับรู้รายได้จากธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติก ซึ่งเป็นธุรกิจหลักยังมีสัญญาณที่ดี ขณะที่จะรับรู้รายได้จากธุรกิจที่ได้ขยายไลน์ออกมา ได้แก่ธุรกิจพลังงานทดแทน ผ่าน
บริษัทย่อย บริษัท เดอะบับเบิ้ลส์ ผลิตทุ่นโซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) เพื่อใช้สำหรับระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ แบบติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำ (Floating PV System) รวมทั้ง ธุรกิจภาคการเกษตร “ ถุงห่อ Magik growth ” และ “ ฟิลม์คัดกรองแสง ”จะผลักดันการเติบโตเพิ่มขึ้นรุกขยายฐานลูกค้าใหม่ และยังเป็นการต่อยอดธุรกิจเดิมได้อีกด้วย
“ ธุรกิจพลังงานทดแทน ผลิตทุ่นโซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) ที่ผ่านมา มีออเดอร์จากลูกค้ามาแล้วมูลค่า 30-40 ล้านบาท คิดเป็นกำลังผลิตรวมประมาณ 1 เมกะวัตต์ จะทยอยส่งมอบภายในช่วงที่เหลือปีนี้ และบริษัทฯตั้งเป้ามีกำลังผลิตเป็น 30 เมกะวัตต์ จาก 15 เมกะวัตต์ปัจจุบัน เพื่อรองรับการขยายงานในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งก็จะขยายธุรกิจการเกษตรเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะในปีหน้า โดยธุรกิจใหม่จะสร้างรายได้อยู่ที่ 10-15% ของรายได้รวมใน 1-2 ปีข้างหน้า ” นายพีรพันธ์ กล่าวในที่สุด
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp