มิติหุ้น – บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ประจำปี 2565 มีกำไรสุทธิ จำนวน 6,023.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2564 อันเป็นผลมาจากบริษัทฯ มีรายได้เติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 106.4 เป็นเงินจำนวน 61,570.65 ล้านบาท โดยมาจากรายได้ค่าพลังงานไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าราชบุรีที่มีการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้ามากกว่าปีที่แล้ว รายได้ค่าขายไฟของกลุ่มโรงไฟฟ้าในออสเตรเลีย รวมทั้งรายได้ของกลุ่มโรงไฟฟ้าสหโคเจน และโรงไฟฟ้าพลังน้ำอาซาฮาน ที่บริษัทฯ รับรู้รายได้เต็มปีหลังจากเข้าลงทุนเมื่อไตรมาส 4 ปี 2564 เช่นเดียวกับส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมทุนก็รับรู้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสามารถขยายกำลังการผลิตได้เพิ่มอีก 1,500 เมกะวัตต์จากการร่วมทุนกับกลุ่มเน็กส์ซิฟ เอ็นเนอร์จี และธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนร่วมกับกลุ่มพริ้นซิเพิล แคปิตอล ซึ่งเป็นพันธมิตรธุรกิจเดิมของบริษัทฯ
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีอยู่ในการขยายธุรกิจเพื่อสร้างรายได้และการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ การเข้าซื้อโรงไฟฟ้าของกลุ่มเน็กส์ซิฟ เอ็นเนอร์จี พร้อมกับร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงหลักและพลังงานทดแทน รวม 24 โครงการ กำลังผลิตเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 1,500 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้มีโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 5 โครงการ กำลังการผลิตรวม 450.45 เมกะวัตต์ อีก 10 โครงการกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 633.70 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้างซึ่งมีกำหนดเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2566-2570 และโครงการที่อยู่ในแผนการพัฒนา อีก 9 โครงการ รวมกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 426.60 เมกะวัตต์
สำหรับธุรกิจนอกภาคการผลิตไฟฟ้า (Non-Power Business) บริษัทฯ ได้ร่วมลงทุนกับกลุ่มพริ้นซิเพิล แคปิตอล ในโรงพยาบาลพริ้นซ์ สกลนคร โดยถือหุ้นร้อยละ 25 และมีกำหนดเปิดให้บริการในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2566 นอกจากนี้ ยังต่อยอดไปสู่ความร่วมมือในธุรกิจติดตั้งโซลาร์บนหลังคาและการซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบ Private Purchase Agreement ให้กับโรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ ผ่านบริษัท สหโคเจน
(ชลบุรี) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย โครงการดังกล่าวนี้ได้ดำเนินการโครงการนำร่องในปีนี้ 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ลำพูน และโรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ และจะขยายไปสู่โรงพยาบาลของกลุ่มพริ้นซิเพิล แคปิตอลอีก 9 แห่ง ในปี 2566
“บริษัทฯ ยังคงขับเคลื่อนการเติบโตด้วยการแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจรายใหม่ ควบคู่ไปกับหาลู่ทางลงทุนเพิ่มเติมร่วมกับพันธมิตรรายเดิม ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ กำลังเจรจาร่วมทุนโครงการโรงไฟฟ้ากับพันธมิตรในต่างประเทศ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจะมีการลงทุนเพิ่มในธุรกิจนวัตกรรมพลังงาน ผ่านทางบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ที่ร่วมทุนกับกลุ่ม กฟผ. ซึ่งกำลังศึกษาความเหมาะสมการลงทุนในโครงการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการใช้พลังงาน ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพในสหรัฐอเมริกา กองทุน Net-Zero ที่ลงทุนโครงการพลังงานทดแทน รวมถึง โครงการ EV Application และสถานีชาร์จไฟฟ้าของ กฟผ. นอกเหนือจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพเพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาค่าเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และรักษาอัตรากำไรให้มีความมั่นคง ขณะเดียวกันก็เร่งศึกษาแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อจัดทำแผนที่นำทางไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593” นางสาวชูศรี กล่าว
บริษัทฯ คาดการณ์ว่า ในปี 2566 จะมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการรับรู้รายได้ของโรงไฟฟ้า 5 แห่งที่เข้าซื้อจากกลุ่ม เน็กส์ซิฟ เอ็นเนอร์จี บวกกับโครงการโรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่นส่วนขยาย กำลังการผลิต 31.20 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานลมอีโค่วิน กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 15.16 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู รวมทั้งโครงการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่ง ใน สปป. ลาว ที่จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2566 ด้วย
ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมจำนวน 203,248.64 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 87,490.67 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 115,757.97 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งสะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.24 เท่า และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น 8.98%
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp