TMILL สุดแกร่ง Q3กำไรแรง 75% เคาะปันผล0.08 บ./หุ้น

134

 

มิตหุ้น-บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) “TMILL”  โรงงานโม่แป้งสาลีรายใหญ่และมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในประเทศ  รายงานผลประกอบการ ไตรมาส 3/2565  มีกำไรสุทธิ 39.42 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.10 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22.49 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.06 บาท  เคาะปันผลระหว่างกาลอัตราหุ้นละ  0.08 บาท  เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น พร้อมมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

นางแววตา กุลโชตธาดา รองผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท ที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) “TMILL” เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565  บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ  39.42  ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 16.93  ล้านบาท คิดเป็น 75.3%   เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3/2564 ที่มีกำไรสุทธิ 22.49  ล้านบาท เป็นผลจากรายได้จากการจำหน่ายในไตรมาส 3/2565 อยู่ที่ 519.41 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 56.6% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 331.62 ล้านบาท

โดยรายได้จากการจำหน่ายแป้งสาลีเพิ่มขึ้น 52.6% และรายได้จากการจำหน่ายรําข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 4.1% ทั้งนี้มาจากปริมาณจำหน่ายแป้งสาลีและรําข้าวสาลีเพิ่มขึ้น  6.4% และ  12.1% และราคาจำหน่ายแป้งสาลีและรําข้าวสาลีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 51% และ 12% ตามลำดับ

ด้านการใช้อัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยในไตรมาส 3/2565 อยู่ที่ 70.06% สูงขึ้น 4.27% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนที่มีการใช้อัตรากำลังการผลิต 65.79% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/2565 ลดลง 0.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยต้นทุนของข้าวสาลีที่ใช้ในไตรมาส 3/2565 นี้ปรับสูงขึ้นกว่าไตรมาส 3/2564 ถึง 51%  และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสูงขึ้น 2.96 ล้านบาท จากค่าส่งเสริมการขายและค่าขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น

สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิ 91.35  ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ  103.76  ล้านบาท  มีผลกำไรสุทธิลดลง 12.41 ล้านบาท คิดเป็น 12.0%   โดยอัตรากำไรขั้นต้นลดลง  5.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากต้นทุนของข้าวสาลีที่ใช้ในปี 2565นี้ปรับสูงขึ้นถึง 52.4%

ส่วนการใช้อัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยใน 9  เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ 69.69% ลดลง 3.78% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ใช้อัตรากำลังการผลิต 73.47% อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มีรายได้จากการจำหน่ายใน 9 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ 1,446 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  32.0% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่ทำได้  1,095 ล้านบาท โดยที่รายได้จากการจำหน่ายแป้งสาลีเพิ่มขึ้น 30.5% และรายได้จากการจำหน่ายรําข้าวสาลีเพิ่มขึ้น 1.5% ทั้งนี้มาจากราคาจำหน่ายแป้งสาลีและรําข้าวสาลีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น  44% และ 14% ตามลำดับถึงแม้ว่าปริมาณจำหน่ายแป้งสาลีและรําข้าวสาลีจะลดลงก็ตาม

นางแววตา กล่าวเพิ่มเติมถึงตลาดข้าวสาลีในปัจจุบันว่า ราคาตลาดข้าวสาลีปรับสูงขึ้นมากกว่า 50% โดยปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 และสูงมากขึ้นอีกตั้งแต่มีข่าวการทำสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนในระหว่างไตรมาส1-2/2565นี้

จึงทำให้มีการปรับราคาจำหน่ายแป้งสาลีขึ้นโดยบริษัทฯแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นบางส่วนไว้เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่อลูกค้าและผู้บริโภคปลายทางไม่ให้รุนแรงมากจนเกินไป จึงส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน

แต่อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทฯ ก็ยังมีการปรับกลยุทธ์ทั้งด้านการผลิตและการจัดจำหน่าย เพื่อให้ยังคงความสามารถในการทำกำไรให้ได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปีนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในไตรมาส3นี้มีการปรับราคาจำหน่ายแป้งสาลีขึ้นได้ใกล้เคียงกับต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น เริ่มสูงขึ้นกว่าสองไตรมาสแรก

บริษัทฯยังคงมุ่งมั่นสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นโดยคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล(งวดดำเนินงานวันที่ 01 ม.ค. 2565 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2565) ในอัตราหุ้นละ  0.08 บาทในวันที่  24 พฤศจิกายน 2565 ทั้งนี้นอกจากบริษัทฯจะพยายามสร้างผลตอบแทนทางการเงินที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นแล้วก็ยังคงมีการทำกิจกรรมตอบแทนสังคมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความยั่งยืนของการดำเนินธุรกิจเป็นทางเลือกการลงทุนที่มั่นคงให้กับนักลงทุนตลอดไป