หากย้อนเหตุการณ์ วันที่ 10 พ.ย.65 สร้างความปั่นป่วนต่อตลาดหุ้นไทยเมื่อมีออเดอร์ปริศนาขายหุ้น MORE กว่า 1,500 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.90บ./หุ้น ตั้งแต่เปิดตลาดช่วงเช้ามูลค่า 4,350 ลบ.ทำนักลงทุนแตกตื่น จนมีออเดอร์ขายอีกกว่า 700 ล้านหุ้นจนราคาฟลอร์ที่ 1.95 บ./หุ้น กระทั่งปิดตลาดวอลุ่มซื้อ MORE พุ่งแตะกว่า 7พันลบ.
ซึ่งตลท.ไม่ได้มีการสั่งหยุดพักการซื้อขายแต่อย่างใด แม้ว่าตลาดเกิด Panic Sell จากความสับสนและมีแต่คำถามขนาดนี้
จนวันที่ 11พ.ย.65 ซึ่งเป็นวันที่ 2 ที่ราคาหุ้น MORE ก็ยังคงซื้อขายได้ตามปกติและเมื่อเปิดตลาดเช้าราคาก็ร่วงลงต่อติดฟลอร์ทันทีที่ 1.37 บ./หุ้น ตลท.ก็ยังคงให้ซื้อขายกันปกติตลอดทั้งวัน มีเพียงออกหนังสือเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังก่อนเข้าซื้อขายหุ้น MORE ในช่วงบ่ายของวันนั้นเท่านั้น
นอกจากนี้ก็มีหลายกระแสข่าวสะพัดออกมาบ้างก็ว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เทขายออกมา ทำให้มีรายชื่อ “เฮียม้อ” ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ด้วย เพราะจำนวนหุ้นที่ขายออกมาเท่าที่ “เฮียม้อ” ถือ 1,500 ล้านหุ้น
บ้างก็ว่าคีย์ผิดพลาดของนักลงทุยรายใหญ่ ที่มีฉายาว่า “เซียนซูเปอร์คาร์” จนภายหลังปรากฏรายชื่อว่าคือ “ปิงปอง” ซึ่งอดีตเคยเป็นมาร์เก็ตติ้งหุ้นค่ายโบรกสีเขียวแห่งหนึ่ง ก็ยังปฏิเสธการซื้อขายหุ้น MORE เช่นกัน
ประกอบกับในช่วงนี้ยังมีประเด็นเรื่อง การแปลงสิทธิในราคาต่ำด้วยหรือไม่และยังเป็นช่วงที่ MORE ประกาศงบQ3/65 ด้วยขาดทุน 6.83 ลบ.เมื่อเทียบ Q3/64 ที่มีกำไรสุทธิ 89.48 ลบ.
แต่กระแสที่ถูกจับตามากไปกว่านั้นก็คือ บรรดาโบรกเกอร์ที่มีรายการซื้อขายหุ้น MORE ในช่วงดังกล่าวว่ามีความเสี่ยงจะถูกชักดาบจากนักลงทุนรายใหญ่หากในวันที่เคลียร์ริ่ง (ซึ่งก็คือวันที่ 14พ.ย.65) ไม่มีเงินมาจ่ายเพียงพอ
เพราะกระแสข่าวเริ่มมีหนาหูว่าไอ้โม่งคนไหนกันนะ ที่มีเงินมากมายมหาศาลเข้ารับหุ้น MORE ขนาดนั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นการอาศัยช่องโหว่ของการขอวงเงินมาร์จิ้น
โดยใช้วิธีเติมหุ้นเข้าพอร์ตของตัวเองในโบรกที่ 1 เพื่อทำให้วงเงินมาร์จิ้นซื้อหุ้นในพอร์ตเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จากนั้นถอนเงินออกทันทีโดยที่วงเงินที่ถูกอัพเพิ่มนั้นยังคงค้างอยู่ และทำแบบนี้ร่วม 10 โบรก หากทำแบบนี้ 10 แห่งน่าจะได้วงเงินราว 4,000-5,000 ลบ.
สุดท้ายเมื่อไอ่โม้งที่ว่านี้ไม่จ่ายเงินตามกำหนดเวลา T+2 หรือวันที่ 14 พ.ย.65 ก็จะสะเทือนลุกลามบานปลายมาที่โบรกเกอร์หากลูกค้าไม่มีเงินมาวางจะมีความเสี่ยงถูกปิดหาก NCR ไม่เพียงพอ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งช่องโหว่ของตลาดทุน และความไม่ทันเกมของตลท.ด้วย ที่ไหวตัวช้าเหตุการณ์จึงลุกลามไปยังโบรกเกอร์ ราคาหุ้นกลุ่มโบรกเกอร์และตัวที่สุ่มเสี่ยงก็ถูกเทขายออกมาจนดัชนีหุ้นไทยติดลบสวนตลาดเพื่อนบ้าน กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน
จนระยะเวลาล่วงเลยมาถึงวันที่ 14 พ.ย.ซึ่งเป็นวันที่ 3 แล้ว ตลท.ถึงจะประกาศขึ้น SP หุ้น MORE อย่างไรก็ตามบรรดาโบรกเกอร์ก็เริ่มมีหนังสือชี้แจงถึงผลกระทบจากดีลดังกล่าว และฐานะการเงิน และ NCR ว่ายังมีความมั่นคง เพราะเริ่มมีกระแสข่าวออกมาว่ามีโบรกไหนบ้างที่ได้รับผลกระทบบ้าง
จนวันที่ 15 พ.ย.65 ตลท.ออกแถลงข่าวและประกาศขึ้น SP หุ้น MORE ตั้งวันที่ 15-18 พ.ย.ต่อจากวันที่ 14 พ.ย.ที่ประกาศขึ้น SP ของการเกิดเรื่องราวแล้ว พร้อมประกาศโฮลเงินหรือระงับการถอนเงินที่เข้าข่ายความผิดปกติ ส่วนรายการที่ไม่เข้าข่ายก็สามารถดำเนินธุรกรรมได้ตามปกติ และมีการส่งเรื่องให้ทาง ปปง.ตรวจสอบเส้นทางเงิน และธุรกรรมที่ผิดปกติด้วย
ซึ่งมีกระแสข่าวว่าจากข้อมูล ปปง. ระบุว่า ผู้ซื้อหุ้น MORE หลักๆมีเพียง 1 ราย คือ “อภิมุข บำรุงวงศ์” หรือ “ปิงปอง” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น MORE สัดส่วนราว 13% ได้ผิดนัดชำระเงินกว่า 4.4 พันลบ.ซึ่งมีกระแสว่า ปิงปองได้ชำระเพียง 100 ลบ.เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม บล.คิงส์ฟอร์ด ประกาศว่า มียอดผิดนัดชำระหุ้น MORE ของลูกค้า 1 ราย มูลค่า 300 กว่าลบ. จากยอดทั้งหมด 4,500 ลบ. และเป็นรายเดียวกับ 11 โบรกเกอร์ที่พบยอดผิดนักชำระหนี้
กระทั่งวันที่ 17 พ.ย.65 ก.ล.ต. สั่งให้ MORE ชี้แจงการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน แก่ “อมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ หรือ เฮียม้อ” ซึ่งเข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันรวมทั้ง การขอผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ โดยอาศัยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น (whitewash) ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่ 17 พ.ย.65 หลัง IFA เห็นว่า ผู้ถือหุ้นไม่ควรลงมติอนุมัติ
และวันเดียวกันนี้ ก.ล.ต.ยังลงดาบ บล.เอเชียเวลท์ สั่งระงับประกอบธุรกิจเป็นการชั่วคราว เหตุ นำเงินลูกค้าไปชำระค่าซื้อหุ้น โดยลูกค้าไม่ได้มีคำสั่งหรือยินยอม จำนวน 157.99 ลบ.พร้อมให้นำเงินมาคืนภายในวันที่ 20 พ.ย.65
ซึ่งจะมีโบรกเกอร์รายอื่นเพิ่มเติมหรือไม่คงต้องติดตามกันต่อไปงานนี้ฝ่ายกำกับดูแลหละหลวมจริงๆคงไม่ผิดนักแล้ว และยิ่งนายภากร ปีตธวัชชัย ระดับผู้จัดการ ตลท. จะอ้างว่า ธุรกรรมไม่ได้ใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตลาดที่ระดับ 20 ล้านลบ.ไม่ได้ทำให้ความน่าเชื่อถือของนักลงทุนลดลงน่าจะไม่ใช่เสียแล้ว
ตลท.ที่ทำหน้าที่ที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิด ไม่ใช่เกิดแล้วถึงจะมาหาทางแก้ไขสุดท้ายก็ลุกลามบานปลายเหมือนโดมิโน่
@mitihoonwealth