มิติหุ้น – “บมจ.โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี หรือ JSP” เดินหน้ามุ่งสร้างการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ แย้มแนวโน้ม Q4/65 ผลงานฟื้นตัว รับกำลังซื้อฟื้น ดันออเดอร์ OEM ยอดคำสั่งซื้อทะลัก ขณะที่ผลงาน Q3/65 มีรายได้ 104.83 ลบ. ขาดทุนสุทธิ 4.7 ลบ. ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ค่าครองชีพของผู้บริโภคสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง และมีค่าใช้จ่ายการโฆษณา เพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ในการขยายฐานลูกค้าระยะยาว ล่าสุดบอร์ดอนุมัติซื้อคลังสินค้า มูลค่าโครงการประมาณ 50 ลบ. เพื่อจัดเก็บและกระจายสินค้าให้เพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจตามแผนระยะยาว
ดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนา ผลิตและจำหน่าย ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบครบวงจร เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/65 ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2565 คาดว่าจะฟื้นตัว เพราะเป็นไฮซีซันของธุรกิจ อีกทั้งผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จากเจ้าของแบรนด์ซึ่งเจรจากันในช่วงครึ่งปีแรก สินค้าจะถูกผลิตและนำออกสู่ตลาดจำนวนมาก และคาดว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะกลับมาและส่งผลให้ออเดอร์ OEM เพิ่มขึ้นสอดคล้องกันไป ทั้งนี้ มองว่าช่วงโค้งสุดท้ายของปีจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากธุรกิจ OEM และการเปิดตัวสินค้าใหม่พร้อมบุกตลาด
ปัจจุบันสัดส่วนรับจ้างผลิต (OEM) มีออเดอร์เกิน 50% ซึ่งบริษัทมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยผลิตภัณฑ์สินค้าภายใต้ แบรนด์ของตัวเอง (Own Brand) คาดปีนี้จะเติบโตสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากบริษัทมีผลิตภัณฑ์ Own Brand ติดตลาด และสามารถสร้างยอดขายให้กับบริษัทได้ค่อนข้างสูงในอนาคต คาดสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ Own Brand จะเพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์ OEM ที่ 50:50 จากปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขายที่ 38.2%
ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายก้าวสู่การเป็นบริษัทชั้นนำด้านการวิจัย ผลิตและจำหน่ายยา และอาหารเสริมครบวงจร โดยร่วมมือสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐและเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อยกระดับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อพัฒนาสินค้าภายใต้ Own Brand
สำหรับผลประกอบการในงวดไตรมาส 3 ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 104.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา สาเหตุหลักเกิดจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภท OWN Brand ซึ่งมาจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักในลูกค้าวงกว้าง มีผลขาดทุนสุทธิ 4.7 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งขาดทุนสุทธิจำนวน 7.1 ล้านบาท เพราะมีต้นทุนในการจำหน่ายลดลง แต่ค่าบริหารเพิ่มขึ้นเนื่องจากค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจตามแผนงาน อย่างไรก็ดี กำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 55.6% ในงวดไตรมาส 3 นี้ ส่งผลให้ EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้นจำนวน 9.8 ล้านบาท
โดยรายได้และกำไรที่ลดลงมีสาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท เช่น กำลังซื้อลดลง ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น เป็นต้น โดยบริษัทได้ดำเนินการหลายอย่างเพื่อลดผลกระทบทางลบจากสถานการณ์ดังกล่าว เช่น การขยายช่องทางการตลาดแบบออนไลน์ การควบคุมต้นทุนวัตถุดิบและค่าก่อสร้าง เป็นต้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการเข้าทำรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ ประเภทอาคารคลังสินค้าซึ่งจะก่อสร้างบนที่ดินตั้งอยู่ที่เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร และเป็นบริเวณเดียวกันกับสำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทฯมีพื้นที่จัดเก็บและกระจายสินค้าให้เพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจตามแผนธุรกิจระยะยาว คลังสินค้าดังกล่าวสามารถรองรับการจัดเก็บสินค้าทุกประเภท ยาแผนปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์สมุนไพร โดยคู่สัญญาในโครงการนี้ทั้งหมดไม่เป็นบุคคลเกี่ยวโยงกับบริษัทฯ โดยแหล่งเงินทุนในการทำรายการนี้จะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีแผนที่จะใช้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อการดำเนินการตามโครงการนี้ หากไม่ได้รับการอนุมัติเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp