BBIK ทุ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท ปิด 2 ดีลใหญ่ส่งท้ายปี เข้าซื้อกิจการบิ๊ก Tech Company เตรียมผงาดโตต่อเนื่องรับปีกระต่ายทอง

89

มิติหุ้น – บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่ปรึกษาชั้นนำผู้ให้บริการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน  แบบครบวงจร ประกาศทุ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการในสัดส่วน 100% ของ 2 บริษัทชั้นนำในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับประเทศ ได้แก่ 1) หน่วยธุรกิจ Digital Delivery ของ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC (ที่ปรึกษาและพัฒนางานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร) ซึ่งเป็นทีมงานนักพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและแอปพลิเคชันทั้งหมดกว่า 300 ชีวิต และ 2) บริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ จำกัด (Innoviz Solutions)    ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญการวางระบบ Enterprise Resource Planning – ERP อันดับหนึ่งของ Microsoft Dynamics 365 ที่ได้รับการยอมรับมากกว่า 17 ปี ในประเทศไทย ซึ่งการควบรวมกิจการครั้งใหญ่นี้เป็นการเสริมแกร่งให้กับงานด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์และต่อยอดบริการด้าน ERP โดยจะมีจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจาก 350 คน  เป็น 780 คน เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจและบริการทั้งในและต่างประเทศ ปูทางสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดดตาม  แผนยุทธศาสตร์ 3 ปี พร้อมตอกย้ำความเป็น Truly End-to-End Digital Transformation Partner และพร้อมปูทางสู่การเป็น Tech Company และ Venture Builder ระดับสากล

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า การเข้าซื้อหน่วยธุรกิจ Digital Delivery ของ MFEC เป็นการเพิ่มขีดความสามารถการรองรับงานบริการให้คำปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี (Digital Excellence & Delivery หรือ DX) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่สร้างรายได้ให้กับบลูบิค และยังเป็นการต่อยอดทางธุรกิจในอนาคตผ่านการ Synergy ร่วมกันกับทาง MFEC อีกด้วย รวมทั้งช่วยเรื่องการประหยัดต้นทุนในการบริหารงานจาก Economy of Scale ซึ่งหลังจากกระบวนการควบรวมกิจการเสร็จสิ้น จะมีผลให้ทีมงานนักพัฒนาเทคโนโลยีและแอปพลิเคชันของกลุ่มบริษัทฯ เพิ่มมากขึ้นถึง 500 คน สามารถรองรับความต้องการในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของภาคธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

ทีมนักพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและแอปพลิเคชัน (Digital Delivery) ของ MFEC มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและแอปพลิเคชันภายใต้มาตรฐาน Software Development Life Cycle – SDLC และการนำระบบขึ้นเพื่อใช้งาน (Deployment Management) นอกจากนี้ยังมีความเชี่ยวชาญด้านอื่นๆ ดังต่อไปนี้ 1) พัฒนาแอปพลิเคชันทั้งในรูปแบบ Mobile Application, Web Application, Desktop และบล็อกเชน 2) การจัดการ Application Programming Interface – API 3) การออกแบบเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันและฟังก์ชันพื้นฐานในการใช้งาน (UX/UI Design) 4) การประกันคุณภาพซอฟต์แวร์ (Software Quality Assurance) 5) การให้บริการหลังการขายที่เกี่ยวข้องกับบริการตาม ข้อ 1 และ 4

สำหรับกระบวนการเข้าซื้อกิจการจะเริ่มหลังจากที่ MFEC จัดตั้งบริษัทย่อยสำหรับหน่วยธุรกิจนี้ โดยใช้เงินสดที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนครั้งแรก (Initial Public Offering – IPO) กระแสเงินสดจากการดำเนินงานและแผนการระดมทุนเพิ่ม ซึ่งกระบวนการดังกล่าวคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 1 ปี 2566

ในขณะที่การควบรวมกิจการกับ บริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ จำกัด มือหนึ่งด้านการวางระบบ ERP ของ Microsoft Dynamics 365 ที่ได้รับการรับรองเป็น Gold Certified Partner จากบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจะสร้างโอกาสเติบโตทางธุรกิจที่แข็งแกร่งให้กับบลูบิค เนื่องจากการพัฒนาการวางแผนและการจัดการทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรหรือระบบงาน ERP นั้นเป็นหัวใจหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพกำลังการผลิตและกระบวนการดำเนินงานให้มีความคล่องตัวของธุรกิจ และยังเป็นที่ต้องการจากองค์กรชั้นนำที่ต้องปรับตัวเข้าสู่การทำธุรกิจยุคดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

“ทีมงานผู้เชี่ยวชาญระบบ ERP จำนวนมากกว่า 130 คน ที่เติมเข้ามาจาก Innoviz จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ และตอบสนองความต้องของลูกค้ากลุ่มเดิมของบลูบิคได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเป็นการขยายบริการและผลิตภัณฑ์หลักของบลูบิคไปยังฐานลูกค้าของ Innoviz ที่มีอยู่มากกว่า 200 ราย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค การเงินและธนาคาร และหน่วยงานภาครัฐอีกด้วย จึงมั่นใจได้ว่าลูกค้าทั้ง 2 ฝั่งจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดภายใต้การให้บริการผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลกแบบครบวงจรที่สามารถรองรับทุกความต้องการของลูกค้าได้” นายพชร กล่าว

สำหรับกระบวนการควบรวมกิจการของ Innoviz จะแบ่งการชำระค่าหุ้นออกเป็น  3 งวด งวดแรกจะเริ่มต้นในไตรมาส 1 ปี 2566 และจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2568 โดยบลูบิคจะเข้าซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมดด้วยเงินสด

  • งวดที่ 1 เข้าซื้อในสัดส่วน 55% โดยใช้เงินกู้ยืมจากสถาบัน ในราคาซื้อขายหุ้นที่เท่ากับกำไรสุทธิของ Innoviz ในปี 2565 คูณด้วย 12 เท่าของ P/E และคูณด้วยสัดส่วนหุ้น 55%
  • งวดที่ 2 ในสัดส่วน 30% โดยราคาซื้อขายหุ้นจะเท่ากับกำไรสุทธิของ Innoviz ในปี 2566 คูณด้วย 16 เท่าของ P/E และคูณด้วยสัดส่วนหุ้น 30%
  • งวดสุดท้าย ในสัดส่วน 15% ซึ่งราคาซื้อขายหุ้นจะเท่ากับกำไรสุทธิของ Innoviz ในปี 2566 คูณด้วย 16 เท่าของ P/E และคูณด้วยสัดส่วนหุ้น 15% สำหรับการชำระค่าหุ้นในงวดที่ 2 และ 3 นั้น บริษัทฯ จะใช้กระแส เงินสดจากการดำเนินงาน

“การขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องของบลูบิคนั้นเป็นไปตามแผนการลงทุนที่บริษัทฯ ได้วางไว้ เพื่อรองรับกระแสการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและความต้องการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้สร้างข้อได้เปรียบในภาคธุรกิจที่ยังคงแรงต่อเนื่อง จากปัจจัยบวกเหล่านี้ทำให้เห็นถึงโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่ได้สะท้อนผ่านผลประกอบของบริษัทฯ ที่สามารถทำนิวไฮในหลายไตรมาสติดต่อกัน ดังนั้นการเข้าซื้อกิจการของทั้ง 2 บริษัท จะทำให้การเติบโตนับจากนี้ของ  บลูบิค โดยเฉพาะในปี ​2566 เป็นไปอย่างน่าจับตามอง จากผลพวงของจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวตามแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี เป็นการตอกย้ำความเป็น Tech Company ที่มุ่งเน้นการเป็น Venture Builder ระดับสากล” นายพชร กล่าวทิ้งท้าย

 

@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp