มิติหุ้น – บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER มั่นใจปี 2565 โตตามเป้าหมายจากราคายางพาราที่ปรับขึ้นและยอดส่งออกสินค้ามีความคล่องตัวมากขึ้น ด้านปี 2566 ตั้งเป้ายอดขาย 5 แสนตัน พร้อมรุกตลาดอินเดียเพื่อเพิ่มยอดขายอีก 10% จากกำลังการผลิตทั้งหมด รวมทั้งเตรียมงบวิจัยและพัฒนา (R&D) 310 ล้านบาทเพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าให้ดียิ่งขึ้นเพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจของปีนี้บริษัทฯยังคงเป้าหมายยอดขายปีนี้ที่ 4.6 แสนตัน จากราคายางพาราที่ปรับขึ้น นอกจากนี้ยอดส่งออกสินค้ามีความคล่องตัวมากขึ้น จากสถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์ที่ดีขึ้น ประกอบกับมีปริมาณออเดอร์จากลูกค้ารายใหม่เพิ่มมากขึ้น อาทิ อินเดีย ,ฮ่องกง, สิงคโปร์ และจีน เป็นต้น
ด้านแผ่นปูรองปศุสัตว์ปัจจุบันได้ติดตั้งเครื่องจักรและเริ่มการผลิตแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯได้ทำการตลาดและได้ส่งสินค้าทดลองให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มส่งสินค้าออกไปต่างประเทศในไตรมาส 1/2566 ตามการผลิตและขายที่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้แก่บริษัท เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง โดยมองว่าความต้องการแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
สำหรับปี 2566 บริษัทฯ คาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 5 แสนตัน โดยมาจากการเพิ่มกำลังการผลิตและสถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์เริ่มกลับมาดีขึ้น นอกจากนี้จะโฟกัสไปที่การขยายตลาดกลุ่มลูกค้า “ประเทศอินเดีย” มากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีการเซ็นสัญญา “กลุ่มลูกค้าใหม่” ในอินเดียเพิ่มขึ้นอีก 5 ราย ตั้งเป้าในปี 2566 จะมียอดขายจากอินเดีย 5 หมื่นตันหรือคิดเป็น 10% ของกำลังการผลิตทั้งหมด
“บริษัทฯเน้นเจาะลูกค้าใหม่ในอินเดียมากขึ้น หลังพบว่าอินเดียมีความต้องการใช้สินค้าค่อนข้างสูง ส่วนหนึ่งมาจากซัพพลายยางพาราในอินโดนีเซียหายออกไปจากตลาดกว่า 10% เนื่องจากอินโดนีเซียเจอปัญหายางพารายืนต้นตายจำนวนมาก ส่งผลให้ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา” นายชูวิทย์กล่าว
ด้านการขายในปัจจุบัน บริษัทฯมีการจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้าในหลากหลายประเทศ ประกอบด้วยประเทศไทย ประเทศอินเดีย ประเทศญี่ปุ่น และ ประเทศจีน ขณะที่มีการเจรจาลูกค้าใหม่จากประเทศอินเดีย และ ญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น รวมทั้งยังมีการมองหาตลาดใหม่ในทวีป “ยุโรป” เพิ่มอีกด้วย
นอกจากนี้บริษัทมีแผนการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเพิ่มกำลังผลิตสินค้ามากขึ้น รวมถึงมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาสินค้าสำเร็จรูป(สินค้าปลายน้ำ) ที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบหลัก เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มเปิดตัวสินค้าสำเร็จรูปในปี 2566 ซึ่งจะทำให้สัดส่วนยอดขายสินค้าปลายน้ำจะเติบโตขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่บริษัทในระยะยาว
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp