มิติหุ้น – บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินทิศทางการเติบโตทางธุรกิจ ของบริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “SVR” โดยประเมินมูลค่าของ “SVR” ด้วยวิธี Relative PE ที่ 8.0 เท่า ใกล้เคียงกับ Forward PE2023 ของบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 12 รายหลัก โดยคำนวณมูลค่าเหมาะสมปี 2566 ที่ 3 บาทต่อหุ้น พร้อมทั้งมองว่า“SVR”ได้รับผลบวกความต้องการบ้านแนวราบที่ขยายตัวตามเทรนด์อุตสาหกรรม
ทั้งนี้ “SVR” เป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์แนวราบน้องใหม่ ที่เน้นจุดขายภายใต้แนวคิด Best Smart Living โดย“SVR”มีจุดแข็งทั้งแบบบ้าน ทำเลที่มีศักยภาพการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ในราคาขายที่คุ้มค่า โดยนับตั้งแต่ปี 2019 – ปัจจุบัน บริษัทมีการพัฒนาโครงการแล้ว 9 โครงการ แบ่งเป็นปิดการขายแล้ว 2 โครงการ, อยู่ระหว่างขาย 6 โครงการ และอยู่ระหว่างพัฒนา 1 โครงการตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ บริเวณพื้นที่บางปู, ทำเลนิคมอุตสาหกรรมอย่างชลบุรีและระยอง รวมถึงอยู่ระหว่างการขยายไปในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมากขึ้น
ฝ่ายวิเคราะห์ ได้อ้างอิงข้อมูลจากศูนย์วิจัยกรุงศรี คาดการณ์ปี 2566-2567 ยอดขายตลาดที่อยู่อาศัยเติบโต 5-7% ต่อปี จากปี 2565 ที่คาดจะเติบโตเพียง 4.5% โดยคาดว่าความต้องการแนวราบยังเพิ่มขึ้น ซึ่ง“SVR” สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบได้ลงตัว จากพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชั่นที่เอื้อต่อการทำงานที่บ้าน
สำหรับปี 2566 – 2567 ประเมินว่า“SVR”มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด โดยปี2566 มีกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท เติบโต 241% และในปี 2567 กำไรสุทธิ 189 ล้านบาท เติบโต 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งนี้เป็นผลมาจากการได้รับแรงหนุนจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เร่งขึ้น บนสมมติฐานที่บริษัทจะมีแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการต่อปี รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้น ที่คาดขยับขึ้นจาก Project Mixed โครงการใหม่ ที่เป็น Segment บน และ SG&A ต่อรายได้จะลดลงจาก Economy of scale ด้วย ขณะที่กำไรสุทธิปี 2565 ประเมินไว้ที่ 54 ล้านบาท เติบโต 6% จากปีก่อน
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ประเมินราคาเหมาะสม “SVR”ที่ระดับ 3.07 บาทต่อหุ้น โดยใช้ Prospective PER ที่ระดับ 9 เท่า ซึ่งต่ำกว่า PER เฉลี่ยของหุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัยที่ระดับ 18 เท่า โดยคาดกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2566 ที่ประมาณ 0.341 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสม ซึ่งเชื่อว่าความต้องการที่อยู่อาศัยในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ความต้องการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑล มีแนวโน้มฟื้นตัวจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น จากกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อในตลาดระดับกลางถึงบน และการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยอาจเปลี่ยนไปหลังการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้ มีความต้องการที่อยู่อาศัยในแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียม
ฝ่ายวิเคราะห์ได้คาดรายได้จากการขายปี 2565 ที่ 699 ล้านบาท เติบโต 26% และในปี 2566 จะมีรายได้จากการขายที่ 1,245 ล้านบาท เติบโต 78% พร้อมคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับดีขึ้นสู่ 34.6% ในปี 2565-2566 ปรับดีขึ้น จากระดับ 30.8% ในปี 2564 ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิในปี 2565 อยู่ที่ 59 ล้านบาท และในปี 2566 จะมีกำไรสุทธิที่ 175 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ระหว่างปี 2563-2566 เท่ากับ 42% ต่อปี โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 8.4% ในปี 2565 และ 14.1% ในปี 2566
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าเหมาะสมของ “SVR” ที่ 3.10 บาทต่อหุ้น ด้วยวิธี P/E multiple โดยใช้กำไรต่อหุ้นปี 2566 ที่ 0.36 บาท เพื่อสะท้อนรายได้จากการโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น จากโครงการที่มีอยู่เดิมและการเปิดโครงการใหม่ในอนาคต และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น จากการเปิดโครงการแนวราบใหม่ที่มีราคาสูงขึ้น โดยกำหนดเป้าหมาย P/E ปี 2566 ที่ระดับ 8.5 เท่า ซึ่งเทียบเคียงค่าเฉลี่ยการซื้อขายของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
สำหรับ “SVR” เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบ ในจังหวัดสมุทรปราการ บริเวณพื้นที่บางปู และเทพารักษ์ ทำเลที่มีการขยายตัวของนิคมอุดสาหกรรม เช่น นิคมบางปู และนิคมพัฒนา-จังหวัดระยอง และพื้นที่อื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนา เพื่อกระจายความเสี่ยงในทำเลที่แตกต่างกัน ได้แก่ อำเภอ ศรีราชา-จังหวัดชลบุรี และ อำเภอไทรน้อย-จังหวัดนนทบุรี โดยปัจจุบัน“SVR” มีจำนวนโครงการทั้งหมด 9 สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแผนธุรกิจและแผนการตลาด ที่วางไว้เพื่อให้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ ได้คาดการณ์กำไรสุทธิของ “SVR” เติบโตเฉลี่ยปีละ 68% ในปี 2565 -2567 โดยคาดกำไรสุทธิ ในปี 2565 ที่ 69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เป็นผลจากรายได้ที่เติบโต 39% อยู่ที่ 778 ล้านบาท และคาดว่าผลประกอบการจะเติบโต 167% มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 185 ล้านบาท ในปี 2566 และเติบโต 31% อยู่ที่ 243 ล้านบาท ในปี 2567 จากสมมติฐาน 1.รายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 39% ในปี 2565-2567 หนุนจาก Backlog ในมือ ณ สิ้นไตรมาส 3/2565 ที่มี 472 ล้านบาท และการรับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น จากการโอนโครงการที่มีอยู่เดิมและโครงการที่จะเปิดใหม่ในอนาคต และ 2. อัตรากำไรขั้นต้นจะเติบโต อยู่ที่ 31.2% ในปี 2565, ขณะที่ในปี 2566 จะอยู่ที่ 34.0% และในปี 2567 จะอยู่ที่ 34.5% จากปี 2564 ที่ 30.4% จากอัตรากำไรขั้นต้น จากการโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้นตามการเปิดโครงการใหม่ที่มีราคาขายสูงขึ้น
@mitihoonwealth
https://lin.ee/cXAf0Dp