M กำไรQ4แรง มีลุ้นเฉียด500ล้าน

363

 

มิติหุ้น- M โดย บล.กสิกรไทยระบุว่า แนวโน้มไตรมาส 4/2565 จากแผนการขยายสาขาของ M สมมติฐาน SSSG ที่ 8% QoQ และแนวโน้มต้นทุนที่ใกล้เคียงกับไตรมาส 3/2565 คาดว่า M จะรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2565 ที่ 498 ลบ. (+24.8% YoY และ +22.0% QoQ) ช่วงเทศกาลสิ้นปีเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโต จากการหารือกับผู้บริหาร โครงการคืนภาษี (ช็อปดีมีคืน) ไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานของ M

ส่วนแนวโน้มปี 2566 ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้เหนือระดับก่อนโควิด-19 ในปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.74 หมื่นลบ. โดยมี SSSG ที่เป็นบวกจากปี 2565 แต่ SSSG คงที่จากปี 2562 การเติบโตของแหลมเจริญซีฟู้ด (LCS) เป็นปัจจัยหลักที่คาดจะช่วยหนุนการเติบโต ขณะที่ MK และ ยาโยอิ น่าจะกลับไปแค่เท่ากับระดับก่อนโควิด-19 M วางแผนที่จะเปิดสาขา MK 10-12 สาขา ยาโยอิ 8-10 สาขา และ LCS มากกว่า 10 สาขาในปี 2566 เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต และเนื่องจากต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมของ M ยังคงอยู่ในระดับสูง อัตรากำไรสุทธิ (NPM) ที่ 15% แบบในอดีตอาจไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ ผู้บริหารยังบอกเป็นนัยถึงความเป็นไปได้ในการควบรวมกิจการในธุรกิจที่คล้ายคลึงกันกับ LCS ในปี 2566

ฝ่ายวิจัยระบุว่า การฟื้นตัวสู่ระดับก่อนโควิด-19 เป็นสัญญาณที่ดี อย่างไรก็ตาม M ดูเหมือนว่าจะฟื้นตัวช้ากว่าคู่แข่ง จากการปรับราคาที่สูงขึ้นและปริมาณอาหารที่น้อยลงจาก MK จึงเชื่อว่าการแข่งขันด้านราคาจากร้านหม้อไฟบุฟเฟ่ต์อื่น ๆ (แผนภาพ 2) นั้นรุนแรงมากและอาจเป็นปัจจัยลบที่ทำให้ MK ฟื้นตัวช้า การท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยกระตุ้นเชิงบวกอย่างมากสำหรับ “แหลมเจริญ ซีฟู้ด (LCS)” แต่ก็ยังมีสัดส่วนเพียง 5% ของรายได้จากร้านอาหาร นอกจากนี้ เรายังกังวลเกี่ยวกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น (แผนภาพ 5) แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นน้อยลง และเนื่องจาก M สามารถเจรจาราคาวัตถุดิบกับซัพพลายเออร์ได้ในช่วงต้นปี M จึงจะเสียเปรียบหากราคายังไม่ลดลงในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า นอกจากต้นทุนวัตถุดิบแล้ว ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์จะสร้างแรงกดดันต่อกำไรสุทธิของ M เนื่องจากคิดเป็น 4% ของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ในค่าสาธารณูปโภค (แผนภาพ 4)

จึงปรับประมาณการกำไร ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2565/66/67 ลง 15.5%/18.3%/16.2% จากการลดสมมติฐาน 1) จำนวนร้าน 2) อัตราเติบโตเฉลี่ยของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) และ 3) อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จากต้นทุนโดยรวมที่สูงขึ้น

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ราคาหุ้น M เพิ่มขึ้น 10% YTD เทียบกับ SET ที่ลดลง 2.4% และซื้อขายที่ PER ปี 2565/66/67 ที่ 33.1 เท่า/24.4 เท่า/20.3 เท่า โดยในปี 2562 ซื้อขายที่ PER 24.9 เท่า ซึ่งเป็นมูลค่าที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับ PER ปี 2566

จึงแนะนำ “ถือ” สำหรับ M ราคาเป้าหมายที่ 61.80 บาท ปัจจัยฉุดตัวคูณมูลค่าหุ้น ได้แก่ 1) การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากร้านอาหารประเภทหม้อไฟชาบู 2) ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ได้แก่ สินค้าโภคภัณฑ์และค่าไฟฟ้าและ 3) การฟื้นตัวช้าสู่ระดับก่อนโควิด-19 ที่ช้ากว่าคู่แข่ง การประเมินมูลค่าของเราอิงด้วยวิธี DCF โดยใช้ WACC ที่ 8% และอัตราการเติบโตสุดท้ายที่ 3%

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/

Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon

Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770

Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon