SCB CIO มองเศรษฐกิจโลกเสี่ยงถดถอยลดลง แนะจังหวะตลาดการเงินสับสนท่าทีธนาคารกลางหลัก สะสมหุ้นกู้คุณภาพสูง – Asian REITs

158

มิติหุ้น – ดร.กำพล  อดิเรกสมบัติ  ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO)  ธนาคารไทยพาณิชย์  จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2566 มีแนวโน้มจะแค่ชะลอตัวแต่ไม่ถดถอย และจะฟื้นตัวได้แบบค่อยเป็นค่อยไปในปี 2567 โดยอ้างอิงจากรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ฉบับล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ระบุว่า มีโอกาสน้อยมากที่จะเห็นอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2566 ติดลบ (เศรษฐกิจโลกหดตัว) ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจโลกถดถอย และเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ในปี 2567 อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตในช่วงปี 2566-2567 ยังถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (ในช่วงปี 2543-2562)

สำหรับ ปัจจัยบวกหลักที่ทำให้เศรษฐกิจโลก สามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปได้ ประกอบด้วย 1) การเปิดเมืองและเปิดประเทศของจีน 2) เศรษฐกิจยุโรปมีความแข็งแกร่งและสามารถจัดการกับวิกฤติพลังงานได้ดีกว่าคาด  3) ตลาดแรงงานทั่วโลกค่อนข้างแข็งแกร่งบวกกับความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (pent up demand) หลังเปิดเมืองเปิดประเทศ ทำให้อุปสงค์ในประเทศส่วนใหญ่ฟื้นตัวได้ดี

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงหลักที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1) ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ 2) ความเสี่ยงเงินเฟ้อที่แม้ชะลอลง (disinflation) แต่อาจชะลอช้าทำให้ดอกเบี้ยต้องค้างในระดับสูงนาน 3) ความผันผวนในตลาดการเงินโดยเฉพาะจากความแตกต่างเรื่องดอกเบี้ยระหว่างสิ่งที่ตลาดคาดและสิ่งที่ธนาคารกลางหลักจะทำ และ 4) ความเปราะบางของภาครัฐ ธุรกิจ และครัวเรือนที่มีภาระหนี้สูง

สำหรับท่าทีล่าสุดของธนาคารกลางหลัก ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ขึ้นดอกเบี้ยช้าลงแต่ยังคงส่งสัญญาณขึ้นต่อจนกว่าจะมีสัญญาณชัดว่าเงินเฟ้อเข้าสู่เป้าหมาย 2% ขณะที่ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงขึ้นดอกเบี้ยแบบเร็วและแรงต่อตามที่ตลาดคาดไว้ และประกาศเริ่มใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QT) ในเดือนมีนาคมนี้ มีเพียงธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ที่เริ่มส่งสัญญาณใกล้หยุดขึ้นดอกเบี้ยหลังเศรษฐกิจมีสัญญาณหดตัว

ดร.กำพล กล่าวว่า SCB CIO วิเคราะห์ว่าความแตกต่าง ระหว่างสิ่งที่ตลาดคาดกับสิ่งที่ธนาคารกลางจะทำด้านดอกเบี้ย เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่อาจสร้างความผันผวนในตลาดการเงินระยะข้างหน้า ล่าสุดตลาดเริ่มปรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยสูงสุดปี 2566 ขึ้น จาก 4.75% เป็น 5.25% และการลดดอกเบี้ยน่าจะเกิดขึ้นช้าลง จากปลายไตรมาส 2 ไปเป็นปลายไตรมาส 3 ขณะที่ถ้อยแถลงและ Dot plot ล่าสุดของ Fed จากการประชุมเดือนธันวาคม 2565  Fed ยังส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยช้าลง แต่ยังขึ้นต่อและยังไม่มีการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปี 2566 SCB CIO ยังคงมุมมอง Fed ขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 25 bps แตะระดับสูงสุดที่ 5.25% และคงดอกเบี้ยไว้ระดับนี้จนถึงปลายปี 2566

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน SCB CIO ประเมินว่า ยังเป็นโอกาสดีที่จะสะสมหุ้นกู้คุณภาพสูง โดยความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่ลดลง เงินเฟ้อที่ลงช้าตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และการขึ้นดอกเบี้ยต่อของ Fed ในช่วงครึ่งปีแรก ยังทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวยังมีการเร่งขึ้นในช่วงสั้น ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่จะสะสมหุ้นกู้คุณภาพสูง (Positive) SCB CIO วิเคราะห์ว่าการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางถึงยาวในช่วงที่เหลือของปี ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก คือ  1) การคาดการณ์เงินเฟ้อ ช่วงหลังชะลอลงจากราคาอาหารและพลังงานที่ลดลง  2)  ตลาดแรงงานและแนวโน้มเศรษฐกิจ  โดยตลาดแรงงานยังมีแนวโน้มแข็งแกร่ง ขณะที่เศรษฐกิจแม้มีโอกาสถดถอยน้อยลงมากแต่ยังคงชะลอตัว   เราเชื่อว่า ในภาพรวมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวน่าจะมีแนวโน้มลดลง แต่การลดลงอย่างมีนัย น่าจะถูกเลื่อนออกไปเป็นในช่วงครึ่งหลังของปี ทำให้ในช่วงครึ่งแรกของปีจะยังเป็นช่วงที่น่าสะสมหุ้นกู้คุณภาพสูงอยู่

นอกจากนี้  กลุ่มกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในเอเชีย หรือ Asian REITs ก็มีความน่าสนใจมากขี้น จากการเปิดเมืองเปิดประเทศของจีนและอาเซียน ส่งผลบวกต่ออัตราการเช่าและค่าเช่า (Occupancy rates and rental rates ) ในอนาคตของ REITs ทั้งในกลุ่มโรงแรม และพื้นที่เชิงพาณิชย์ (Retail and Industrial & warehouse) โดยเฉพาะในไทยและสิงคโปร์ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการพึ่งพาเศรษฐกิจจีนค่อนข้างมาก โดย SCB CIO ประเมินว่าการกลับมาเร่งตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยและสิงคโปร์ขยับขึ้นในช่วงสั้นนี้ เป็นจังหวะดีที่จะเข้าทยอยสะสม REITs ของไทยและสิงคโปร์

ดร.กำพล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงทุนในหุ้นยังคงมุมมอง Neutral เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากทั้งต้นทุนทางการเงินที่สูง และเริ่มเห็นกำไรเติบโตติดลบ โดยผลประกอบการไตรมาส 4/2565 ที่ออกมาล่าสุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และเวียดนาม สะท้อนให้เห็นว่า 1) มีการหดตัวของอัตราการเติบโตกำไรบริษัทจดทะเบียนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วทำให้เกิดความเสี่ยง earning recession (กำไร YoY หดตัว 2 ไตรมาสติด) และ 2) การลดลงของจำนวนบริษัทที่มีกำไรดีกว่าคาด (earnings’ positive surprises) ในขณะที่การปรับลดคาดการณ์กำไรของตลาดหุ้นส่วนใหญ่เริ่มชะลอลง สะท้อนมุมมองที่ดีขึ้นต่อผลประกอบการในอนาคตหลังความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยลดลง แต่การคาดการณ์กำไรที่ดีขึ้นอาจทำให้โอกาสที่กำไรจะดีกว่าคาดทำได้ยากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี

ล่าสุด SCB CIO ได้ปรับมุมมองหุ้นยุโรปขึ้นเป็น Neutral จากการจัดการผลกระทบวิกฤติพลังานที่ทำได้ดีกว่าคาดทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มออกมาดีกว่าคาดตามไปด้วย ปรับมุมมองหุ้นอินโดนีเซียลงเป็น Neutral จาก ราคาถ่านหินซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกหลักลดลง อุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุด และ มูลค่า (valuation) ที่เริ่มกลับมาตึงตัวโดยเฉพาะในกลุ่มธนาคารซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจหลักในตลาดหุ้นอินโดนีเซีย โดย SCB CIO ยังเน้นการลงทุนในตลาดหุ้นจีน (A-share: Positive; H-share: Slightly Positive) และตลาดหุ้นไทย (Slightly Positive) จากอานิสงส์การเปิดเมืองเปิดประเทศที่จะมีต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการ รวมถึง valuation ที่ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon