BGC สร้างยอดขายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดันรายได้ปี 65 โตแข็งแกร่ง 15% ตอกย้ำศักยภาพในการขาย ควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

127

มิติหุ้น – บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส หรือ BGC ทำรายได้ปี 65 ที่ 14,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน จากปริมาณการขายและการปรับราคาขายบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับต้นทุน รวมถึงดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นหลังเปิดประเทศ บอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานไตรมาส 4/65 อัตรา 0.12 บาทต่อหน่วย มองดีมานด์บรรจุภัณฑ์แก้วไตรมาส 1/66 โตต่อเนื่อง รับการท่องเที่ยวฟื้นตัว กระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคเครื่องดื่มที่เพิ่มขึ้น

นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วและแพคเกจจิ้งรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ปี 2565 นับเป็นอีกปีที่ยอดขายของบริษัทฯ เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสสุดท้าย เนื่องจากเป็น High Season ของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งการเปิดประเทศส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว กระตุ้นให้เกิดการบริโภคเครื่องดื่มและจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เห็นได้ชัดจากอุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นในส่วนของกลุ่มเบียร์ โซดาและน้ำดื่ม และเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ (Spirits & Wine)

โดยภาพรวมการดำเนินงานปี 2565 มีรายได้จากการขายรวม 14,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปี 2564 โดยเป็นการเติบโตจากยอดขายในประเทศ 11% จากกลุ่มเบียร์ โซดาและน้ำดื่ม และเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ (Spirits & Wine) และยอดขายจากการส่งออกเติบโต 44% เนื่องจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์แก้วและแพคเกจจิ้ง ในกลุ่มประเทศ CLMV และสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่มีการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบส่งผลให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 506 ล้านบาท ลดลง 3% จากปี 2564 เนื่องจากราคาวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2565 มีรายได้จากการขาย 3,798 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมลองปีใหม่ จึงกระตุ้นการจับใช้สอยและความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์แก้วสำหรับเครื่องดื่มประเภทต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 84 ล้านบาท

“แม้ในปี 2565 สงครามระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตก ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีการบริหารจัดการต้นทุนด้วยการปรับสูตรการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วย เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ ควบคู่ไปกับการเพิ่มสัดส่วนใช้พลังงานทางเลือกและมองหาพลังงานทางเลือกอื่น ๆ เพิ่มเติม รวมทั้งเจรจาขอปรับราคาสินค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายเพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น” นายศิลปรัตน์ กล่าว

จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 เพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2565 อัตรารวม 0.445 บาทต่อหุ้น โดยในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลไปแล้ว 0.325 บาทต่อหุ้น คงเหลือที่จะต้องในงวดสุดท้ายอีก 0.12 บาทต่อหุ้น มีกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 25 เดือนเมษายนนี้ และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 17 เดือนพฤษภาคม 2566

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BGC กล่าวต่อว่า แนวโน้มความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์แก้วในไตรมาส 1/2566 คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวและจีนเปิดประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและยอดขายเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคาต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ ในระยะข้างหน้า  ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เข้าร่วมโครงการธุรกิจจัดการพลังงาน ESCO (Energy Service Company) ซึ่งจะทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อเร่งยอดขายรองรับความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon