EP ปักธงปี 66 รายได้รวมเติบโตมากกว่า 50% ประเมินรายได้ขายไฟฟ้าโตเกิน 2 เท่า

297

มิติหุ้น – นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP เปิดเผยว่าแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้จะเติบโตมากกว่า 50 % โดยจะมีรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในพอร์ตลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการติดตั้ง Solar Rooftop Solar farm  และการขายไฟฟ้าให้เอกชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากในปีนี้อัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทำให้ความต้องการติดตั้งเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ  สามารถขายไฟฟ้าให้กับภาคเอกชนได้มากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ โครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเวียดนาม จำนวน 160 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียม COD กับทางการเวียดนาม  ก็มีความชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากการไฟฟ้าเวียดนาม ผู้ประกอบการกลุ่มโรงไฟฟ้า และหอการค้าไทย รวมถึงหอการค้าต่างประเทศอื่นๆ   ได้เสนอความเห็นต่อรัฐบาลเวียดนามให้เร่งรับซื้อไฟฟ้าโดยเร็ว ส่งผลให้การเจรจาเรื่องอัตรารับซื้อไฟฟ้าใหม่ และการ COD จะมีข้อสรุปได้เร็วขึ้น

“ภาพรวมธุรกิจในปี 2566 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจ โดยธุรกิจสิ่งพิมพ์คาดว่าจะมียอดขายเติบโตประมาณ 20%  จากปีก่อน หลังสามารถปรับราคาขายได้ตามราคาต้นทุนที่สูงขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นก็จะกลับสู่สภาวะปกติที่ประมาณ 15% ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าน่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการรับรู้รายได้จากโครงการที่มีอยู่ในประเทศ ที่คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า นอกจากนี้ ยังคาดหวังว่าจะได้รับรายได้จากไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเวียดนาม 160 เมกะวัตต์ โดยเร็วที่สุด เพราะตามตัวเลขทางเทคนิคที่ได้ศึกษาไว้ ชัดเจนว่า ทุกๆ 1 เมกะวัตต์ที่ติดตั้งของไฟฟ้าพลังงานลม จะสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ถึงปีละ 3 ล้านหน่วย เราจึงเร่งรัดที่จะได้ข้อสรุปกับทางเวียดนามให้เร็วที่สุด”  นายยุทธกล่าว

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทฯ  มีรายได้จากการดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 877.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.42% จากปีก่อน  โดยสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์มีรายได้ 681.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% และรายได้ทางตรงจากธุรกิจไฟฟ้า เพิ่มขึ้นกว่า 145% แต่เนื่องจากยังไม่มีรายได้จากโครงการไฟฟ้าพลังงานลมเข้ามา ทำให้บริษัทฯขาดทุนสุทธิ (ส่วนของบริษัท) เป็นเงิน 272.04 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจาก ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 261.33 ล้านบาท (โดย 250 ล้านบาท ใช้สำหรับลงทุนในโครงการลม)  รวมทั้งมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง จำนวน 62.49 ล้านบาท  ดังนั้น เมื่อโครงการลม COD แล้ว บริษัทก็จะพลิกกลับมามีกำไรเช่นที่แล้วมา อนึ่งถึงแม้บริษัทจะขาดทุนในปี 2565 แต่หนี้สินต่อทุน(D:E) กลับลดลงเป็น 1.12 เท่า จาก 1.19 เท่า และมีมูลค่าหุ้นตามบัญชี( Book Value) อยู่ที่ 4.08 บาท

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/

Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon

Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770

Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon