ปี 2566 ประเทศไทยเข้าสู่เทศกาลเลือกตั้ง นับเป็นเวลาที่เหมาะเจาะในภาวะเศรษฐกิจประเทศอยู่ในช่วงฟื้นฟู หลังจากบอบช้ำอย่างหนักจากวิกฤตโควิด-19 และกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ท่ามกลางความท้าทายหลายด้าน ทั้งความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย และภูมิรัฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ
การเลือกตั้งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน พ.ค.66 จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของไทย ไม่ว่าจะเป็น นโยบายด้านพลังงาน การเงินการคลัง ความผันผวนของค่าเงินบาท การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ การท่องเที่ยว และมาตรการเศรษฐกิจหลังยุคโควิด-19 ของแต่ละพรรค ยังคงเป็นที่หน้าจับตามอง ดังนั้นจึงได้รวบรวมนโยบายเศรษฐกิจ จาก 4 พรรคการเมือง เพื่อจับสัญญาณและหาทิศทางการลงทุนหลังจากนี้ต่อไป
พรรคไทยสร้างไทย
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า จะเดินหน้าแก้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยใหม่ ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs โดยการเปิดกองทุนอย่าง “กองทุนสร้างไทย 3 แสนลบ.” ที่ดูแลโดยภาคเอกชนเพื่อเป็นแหล่งรายได้แก่ SMEs และยกเว้นการเก็บภาษี SMEs เป็นระยะเวลา 3 ปี ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงรื้อโครงสร้างพลังงานใหม่ โดยกำหนดค่าไฟไม่เกิน 3.50 บาท
ทั้งนี้ยังเน้นสร้างรายได้ จากสิ่งที่เก่งอยู่แล้ว ในเรื่องการท่องเที่ยว จากกลับมาเปิดประเทศ ด้านการเกษตรและอาหาร โดยอาศัยโอกาสจากวิกฤตการอาหารของโลกในการเป็นแหล่งผลิตและส่งออกอาหารที่มีคุณภาพ รวมถึงต่อยอดธุรกิจสุขภาพให้เป็น Wellbeing HUB ของโลก ซึ่งมีเม็ดเงินประมาณ 150 ล้านลบ. หากขอสามารถเข้าถึงเม็ดเงินดังกล่าวเพียง 1% จะสร้างรายได้ให้ไทย ราว 1.5 ล้านลบ. ซึ่งภายในปี 68 ทั้ง 4 ด้านนี้ จะสามารถสร้างรายได้ให้ไทยประมาณ 35% ของ ตัวเลขเศรฐกิจ (GDP) คิดเป็นเงินราว 5 ล้านลบ.
นอกจากนี้ แย่งตำแหน่ง Digital Economy HUB จากสิงคโปร์และฮ่องกง โดยการลงทุน 0 บาท เพียงแก้กฎหมายตามที่ พรรคได้เสนอเข้าในสภา สร้าง Ecosystem ให้ Startup สามารถเข้าถึงเงินทุน ความรู้ และการตลาดได้ง่าย สร้างโอกาสจากวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์ในการดึงดูดนักลงทุนที่ย้ายฐานการผลิตจากจีน เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) , อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงตลาดทุนจากฮ่องกง มาที่ไทยและเดินหน้าเจรจาพร้อมภาคเอกชน ในการทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป ให้สำเร็จ
อีกทั้งยังเดินหน้าเจรจากับจีนและอินเดีย ให้เกิดข้อตกลงด้านการค้าและการลงทุน โดยที่ไทย จีน อินเดีย มีประชากรรวมกันราว 2.9 ล้านคน คิดเป็น 36% ของประชากรโลก มีเศรษฐกิจรวมกันประมาณ 22.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 26% ของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดีจะทำให้ไทยเป็น Global Gateway เป็นศูนย์กลางการเดินทางทั้งทางบก เรือ และอากาศ รวมถึงสร้าง Global Megaproject เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
พรรคเพื่อไทย
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เน้นการเติบโตของ GDP เป็นหลัก ไม่งั้นจะกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้ทั่วถึงทั้งประเทศคงไม่ง่าย ไม่ใช่รวยกระจุก จนกระจาย
ทั้งนี้ ในด้านอุปสงค์อย่างเดียวคงไม่พอ ถึงแม้การท่องเที่ยวจะดี รวมถึงการส่งออกและอุปโภคบริโภคดีขึ้น มีการลงทุนในภาคเอกชน ไม่ขาดดุลทางการค้า แต่ด้านอุปทานยังมีปัญหาอยู่ ผลผลิตทางการเกษตรต่อไร่ไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อสินค้าไม่ถูกผลิตจะขายส่งออกได้อย่างไร ดังนั้นอุปทานจึงสำคัญ
อย่างไรก็ดีการจะทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น ต้องเน้นทั้งอุปสงค์และอุปทานให้ทำงานร่วมกันและไปทิศทางเดียวกัน รวมทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งการขึ้นค่าแรงเป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องการจะทำ โดยขึ้นเป็น 600 บาท จากค่าครองชีพที่สูงขึ้น เพื่อให้มีเงินเหลือในการชำระหนี้ หรือใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ที่จำเป็นน้อยลง โดยจะทำให้ราคาผลผลิตสูงขึ้นและมีต้นทุนที่ถูกลง
พรรคก้าวไกล
นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า จะพัฒนาทั้งเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจมหภาค ให้เติบโตไปด้วยกัน การดูตัวเลข GDP อย่างเดียวไม่พอ เพราะระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา GDP ไทยโตสะสมประมาณ 20% ในขณะที่กำไรบริษัทโต 30% แต่รายได้จากค่าจ้าง โตเพียง 3% บ่งบอกถึงการที่ GDP โตนั้นไม่ได้กระจายถึงคนข้างล่าง
ดังนั้นสิ่งที่เน้นย้ำคือ ดีมานด์ภายในประเทศที่ต้องเข้มแข็งขึ้น ต้องไม่พึ่งพาแค่การท่องเที่ยวอย่างเดียว เศรษฐกิจฐานรากต้องโตขึ้นตาม โดยค่าแรงขั้นต่ำจะเริ่มต้นเพิ่มที่ 450 บาท และจะเพิ่มขึ้นทุกปี โดยดูจากค่าครองชีพและการเติบโตของ GDP รวมถึงการพัฒนาทักษะของแรงงาน ให้มากขึ้นเพื่อตอบรับเทคโนโลยีที่จะเข้ามาโดยกำลังแรงงานไทยมี 40 ล้านคน ซึ่ง 40% หรือประมาณ 16 ล้านคน มีวุฒิการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนต้น และมีอายุเกิน 40 ปี
ทั้งนี้ ยังเน้นนโยบาย SMEs ให้สามารถแข่งขันกับนายทุนใหญ่ได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม อาทิ ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 1.5 เท่า เมื่อซื้อของ SMEs เพิ่ม , เติมทุนให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ
ในขณะที่จะสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนปัญหาให้เป็นดีมานด์ อย่างปัญหาน้ำประปาในต่างจังหวัดที่ไม่ได้คุณภาพและต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ภาคธุรกิจไม่ออกไปลงทุนในบางพื้นที่ รวมถึงระบบขนส่งสาธารณะโดยที่จะเปลี่ยนเป็นรถเมล์ไฟฟ้าทั้งหมดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทำให้ภาคเอกชนหามาสนใจที่จะลงทุน
ในส่วนเรื่องของการลดค่าไฟฟ้า โดยจะเปลี่ยนการส่งก๊าซธรรมชาติให้ส่งไปโรงไฟฟ้าก่อนแล้วค่อยส่งไปที่อุตสาหกรรมเพชรเค็ม ซึ่งค่าไฟที่ถูกผลิตจากก๊าซจะถูกเฉลี่ยกลับราคานำเข้าก๊าซ โดยราคาที่ผลิตก๊าซในประเทศจะถูกกว่า ซึ่งจะลดค่าไฟได้ทันที 0.7 บาท แต่ยังคงต้องปรับขึ้นลงตามค่า FT รวมถึงเปิดเสรีการซื้อขายไฟ ให้ผู้เล่นรายอื่นเข้ามาผลิตและขายไฟให้กลับประชาชนได้ จากเดิมที่มีแค่ กฟผ. ที่ซื้อไฟฟ้าทั้งหมดจากผู้ผลิตและขายต่อให้ กฟน. และ กฟภ.
อย่างไรก็ดียังมีเรื่องการ Green Economy โดยกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ Cap and Trade ว่าแต่ละเซ็คเตอร์จะปล่อยได้เท่าและตั้งเป้าให้ลดลงทุกปี เพื่อให้เกิดตลาดที่เทรดคาร์บอนได้
พรรคพลังประชารัฐ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ กรรมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจและการเมือง พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ทิศทางสำคัญในขับเคลื่อนเศรษฐกิจและต้องพูดถึงอย่างการท่องเที่ยว การส่งออก การลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐ โดยเครื่องจักรสำคัญสุดคือการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งเสริมให้ดีขึ้นไม่ใช่แต่จำนวน คุณภาพก็สำคัญ จากนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูง การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ และเชื่อมโยงการท่องเที่ยวของชุมชนกับการท่องเที่ยวของมหภาค
ทั้งนี้ การส่งออกในปี 66 ยังไม่ค่อยดีจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ซึ่งการเคลื่อนเศรษฐกิจของการส่งออก คาดไม่เกิน 2.9 แสนลบ. ตามที่ตั้งเป้าไว้ แต่เป็นโอกาสที่จะปรับเปลี่ยนการส่งออกใหม่ ด้วยนวัตกรรมใหม่ เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) โดยไม่ได้เน้นแต่ตัวเลขแต่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ให้พร้อมกับการแข่งขันในอนาคต
ในขณะที่การลงทุนจะต่อยอดจาก โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เคยทำไว้แล้ว รวมถึงการช่วยเหลือจากทางภาครัฐ อาทิ การแก้หนี้ การเพิ่มวงเงินบัตรประชารัฐ เป็น 700 บาท/เดือน ให้ประชาชน 14 ล้านคน มีกองทุนประชารัฐ – SMEs Wallet และศูนย์ส่งเสริมเศรษฐกิจ SMEs ครบวงจร
นอกจากนี้ยังมียโยบายในการปฏิรูปโครงสร้างราคาน้ำมัน โดยการลดการใช้น้ำมันลงสิ่งที่เน้นคือการปรับเปลี่ยนรถยนต์แบบเก่าเป็น EV อย่างไรก็ดีในส่วนของไฟฟ้าที่จะลดค่าใช้จ่ายโดยการติดโซล่าเซลล์ รวมถึงโรงไฟฟ้าชุมชน
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon