มิติหุ้น – บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ “PDJ” บริษัทผู้ผลิต จัดจำหน่าย และค้าปลีกเครื่องประดับแท้ และเป็นผู้นำด้านการส่งออกเครื่องประดับอัญมณีของไทย ภายใต้แบรนด์ชั้นนำของโลก และแบรนด์ของตนเองระดับสากล ได้เผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2565 มีกำไรจากการดำเนินงาน 64 ล้านบาท ลดลง 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลุ่มบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงระบบสาธารณูปโภค ซึ่งชะลอมาจากไตรมาสก่อน รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับยอดขายในประเทศอินเดียที่เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี และบริษัทฯได้เริ่มดำเนินการผลิตในประเทศอินเดีย ขณะที่ภาพรวมในปี 2565 บริษัทฯมียอดขายเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน
คุณชนัตถ์ สรไกรกิติกูล ประธานกรรมการการเงินและบริหารความเสี่ยง บมจ. แพรนด้า จิวเวลรี่ ได้เผยว่าไตรมาส 4/2565 บริษัทฯมียอดขาย 955 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดขายจากกลุ่มธุรกิจการผลิต เป็นสัดส่วน 72% ลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการบริหารการรับคำสั่งซื้อให้ใกล้เคียงกันทั้งปี ในขณะที่บริษัทฯ มียอดขายจากกลุ่ม Omni-channel คิดเป็นสัดส่วน 28% เป็นเงิน 264 ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การตลาดในประเทศไทยกลับมาฟื้นตัวและเริ่มมีการจับจ่ายตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา จึงทำให้ยอดขายในไตรมาส 4/2564 สูงกว่าไตรมาส 4/2565
ทั้งนี้ ภาพรวมในปี 2565 พบว่า บริษัทฯมียอดขายจากกลุ่มธุรกิจการผลิต เป็นสัดส่วน 75% เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากภาวะเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้บริษัทฯ มียอดคำสั่งซื้อเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ในขณะเดียวกัน ยอดขายในกลุ่มธุรกิจ Omni-channel คิดเป็นสัดส่วน 25% เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปัจจัยบวกมาจากสภาพตลาดในประเทศไทยกลับมาฟื้นตัว และเริ่มมีการจับจ่ายในระหว่างปี รวมถึงธุรกิจการจัดจำหน่ายของบริษัทฯ ในประเทศอินเดียเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยบริษัทฯได้เริ่มดำเนินการผลิตในประเทศ เพื่อรองรับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นในประเทศอินเดีย
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2566 นี้ บริษัทฯได้วางกลยุทธ์ในกลุ่มธุรกิจการผลิต ที่เน้นสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้า ในการส่งมอบสินค้าได้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า ด้วยราคาที่แข่งขันได้ เพื่อการเติบโตในระยะยาว อีกทั้งให้ความสำคัญต่อการสร้างฐานลูกค้าเชิงกลยุทธ์ที่มีศักยภาพ ทำงานร่วมกับลูกค้าในรูปแบบ Strategic Partner วางแผนร่วมกันในระยะยาวกับลูกค้ารายสำคัญ เพื่อการวางแผนคำสั่งซื้อและจัดสรรการใช้กำลังการผลิตให้สมดุลตลอดทั้งปี ซึ่งในปี 2566 นี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,600 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่า ในไตรมาส 1/2566 จะปิดยอดขายได้ 505 ล้านบาท คาดว่าปี 2566 จะรักษาระดับยอดขายจากกลุ่มธุรกิจการผลิตได้ใกล้เคียงปี 2565 อย่างไรก็ตามเป้าหมายในสกุลเงินบาทจะขึ้นอยู่กับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลัก เนื่องจากธุรกิจการผลิตส่วนใหญ่ดำเนินการในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ในส่วนของกลุ่มธุรกิจ Omni-channel Distribution ซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกเครื่องประดับภายใต้แบรนด์ของตนเอง อาทิ PRIMA Thailand ซึ่งในปี 2566 นี้ ได้วางกลยุทธ์การรักษาฐานลูกค้าเดิม โดยมุ่งสร้างความแข็งแกร่งของการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือ CRM รวมถึงการขยายฐานลูกค้าใหม่สู่กลุ่ม Young Generation และขยายสู่ช่องทางออนไลน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ สำหรับแบรนด์ Gemondo ได้มีการพัฒนาเว็บไซด์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาด ตลอดจนการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในปี 2566 ได้ตั้งเป้ายอดขายของกลุ่มธุรกิจ Omni-channel Distribution ไว้ที่ 1,235 ล้านบาท คาดการณ์ว่าไตรมาส 1/2566 จะปิดยอดขายได้ 241 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย 13% เนื่องจากการดำเนินงานของประเทศเวียดนามและสหราชอาณาจักรยังคงเผชิญกับความท้าทายในตลาด
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon