มิติหุ้น – SCGP แถลงผลไตรมาส 1 ปี 2566 เติบโตจากไตรมาสก่อน ทำรายได้ 33,729 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 มีกำไรสุทธิ 1,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 171 ผลจากยอดขายบรรจุภัณฑ์ที่ทยอยฟื้นตัวจากความต้องการของตลาดในภูมิภาคอาเซียนที่สูงขึ้น การท่องเที่ยวและภาคบริการโต การเปิดประเทศของจีน รวมถึงต้นทุนที่ลดลง และจากการดำเนินกลยุทธ์ขยายธุรกิจ M&P เสริมแกร่งธุรกิจต่อเนื่อง ล่าสุดเตรียมลงทุนร้อยละ 70 ใน Starprint Vietnam JSC ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พรีเมียมคุณภาพสูงชั้นนำในเวียดนาม พร้อมผนึก Origin Materials ร่วมวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสุดล้ำระดับโลก “Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ” เพื่อนำไปผลิตเป็นสารตั้งต้น Bio-PTA สำหรับการผลิต Bio-PET ตอบโจทย์ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 มีอัตราเติบโตที่ดีเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนการฟื้นตัวของตลาดบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะกระดาษบรรจุภัณฑ์ โดยมีรายได้จากการขาย 33,729 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อนหน้า มี EBITDA ทั้งสิ้น 4,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสำหรับงวด 1,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 171 จากไตรมาสที่ผ่านมา
การเติบโตดังกล่าวมาจากความต้องการกลุ่มบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศในอาเซียนและประเทศจีนที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และบรรจุภัณฑ์อาหารที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นหลังจากประชาชนคลายความกังวลต่อสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ SCGP ที่ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร โดยเฉพาะการมุ่งเน้นขยายการลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ตลอดจนการปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับผลกระทบจากเศรษฐกิจและตลาดบรรจุภัณฑ์
นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนมาจากการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เพิ่มขึ้น และได้รับผลดีจากภาคการผลิตของจีนที่เริ่มฟื้นตัวหลังเปิดประเทศทำให้ปริมาณการส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ไปยังประเทศจีนเพิ่มขึ้น อีกทั้งต้นทุนต่าง ๆ ได้แก่ ราคาพลังงาน วัตถุดิบและค่าระวางเรือขนส่งสินค้าที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่ออัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ยังคงมีความท้าทายจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังผันผวน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย รวมถึงความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง ทำให้การส่งออกสินค้าในกลุ่มสินค้าคงทนและสินค้าฟุ่มเฟือยชะลอตัว อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณบวกในการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป
นายวิชาญ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดบรรจุภัณฑ์ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 คาดว่ามีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะความต้องการภายในประเทศจากการขยายตัวของเศรษฐกิจและธุรกิจบริการ รวมถึงราคาวัตถุดิบที่เริ่มปรับตัวกลับเข้าสู่ระดับปกติและมีแนวโน้มทรงตัว ส่วนราคาพลังงานและค่าระวางเรือขนส่งมีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการบริหารจัดการต้นทุน
SCGP มุ่งรักษาการเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อเนื่องด้วยการเดินหน้าตามกลยุทธ์การขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค โดยล่าสุด วันที่ 25 เมษายน 2566 SCGP ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงเจตนาการเข้าลงทุนใน Starprint Vietnam JSC (SPV) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษแข็งแบบพับได้ (Offset folding carton) ที่มีชื่อเสียงในประเทศเวียดนาม โดยคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเห็นชอบโครงการลงทุนเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วนร้อยละ 70 โดยมีมูลค่ากิจการรวมไม่เกิน 1,050 พันล้านดอง หรือประมาณ 1,534 ล้านบาท โครงการควบรวมกิจการ (M&P) นี้จะดำเนินการผ่านความร่วมมือกับ บริษัทสตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) (Starflex) บริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) ที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งจะลงทุนร้อยละ 25 ใน SPV หลังจากธุรกรรมนี้เสร็จสิ้น ธุรกรรมข้างต้นอยู่ระหว่างการดำเนินการ คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดเผยขนาดของรายการและโครงสร้างการถือหุ้นตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่าด้วยการได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ต่อไป
Starprint Vietnam JSC (SPV) เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษพรีเมียมคุณภาพสูง ได้แก่ บรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษแข็งแบบพับได้ (Offset folding carton) กล่องบรรจุภัณฑ์คงรูปคุณภาพสูง (Rigid boxes) และบรรจุภัณฑ์ที่เน้นความสวยงาม มีฐานลูกค้าหลักในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และเป็นที่ยอมรับจากบริษัทชั้นนำระดับโลก โดยมีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ขึ้นรูปแบบพิมพ์ออฟเซ็ท 16,500 ตันต่อปี และมีกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษแบบคงรูป 8 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งมีฐานการผลิต 2 แห่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ลองบินห์ (อมตะ) ในจังหวัดด่งนาย (Dong Nai) ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม โดยในปี 2565 SPV มีรายได้ประมาณ 1,013 พันล้านดอง (ประมาณ 1,480 ล้านบาท) มีกำไรสุทธิหลังหักภาษี 92.5 พันล้านดอง (ประมาณ 135 ล้านบาท) และมีสินทรัพย์ 440 พันล้านดอง (ประมาณ 643 ล้านบาท)
นอกจากนี้ SCGP ได้ทุ่มเทในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันเพื่อตอบโจทย์เมกะเทรนด์และไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค โดยล่าสุดได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือ (Joint Development Agreement หรือ JDA) กับ Origin Materials (ออริจิ้น แมตทีเรียลส์) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมกันพัฒนา “Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมระดับโลกในการนำชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ มาผ่านกระบวนการแปรรูปด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง จนได้ Bio-PTA เพื่อนำไปผลิตเป็น Bio-PET ในการผลิตบรรจุภัณฑ์และสินค้าต่าง ๆ อาทิ บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์อาหาร สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และรองรับการใช้ Bio-PET ในหลากหลายอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้วัตถุดิบยั่งยืน และสามารถนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน SCGP ยังคงมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวคิด ESG 4 Plus อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ เป็นที่ยอมรับและได้รับการประเมินความยั่งยืนในระดับ Gold Class ผลการประเมินอยู่ในกลุ่มคะแนนสูงสุด 1% แรก (Top 1%) ในกลุ่มอุุตสาหกรรมบรรจุุภัณฑ์จาก S&P Global Corporate Sustainability Assessment (CSA) และเป็น Industry Mover หรือบริษัทจดทะเบียนที่มีพัฒนาการโดดเด่นและทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงบนรากฐานของความยั่งยืน
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon