5 หุ้นรพ.เด่นผงาด รับ COVID สายพันธุ์ใหม่

1391

               สถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 กลับมาน่ากังวลอีกครั้ง หลังประเทศอินเดียพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ “XBB.1.16 หรือในชื่อ อาร์คทูรัส (Arcturus)” จำนวน 6.5 หมื่นราย และแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วอีก 29 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์นี้จำนวน 27 ราย เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 66

               ส่งผลให้บรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประเทศไทยพากันจับตาเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมามีผู้คนออกเดินทางไปพบปะสังสรรค์เป็นจำนวนมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย

               ทั้งนี้สื่อเมโทรของอังกฤษรายงานวานนี้ (20 เม.ย.) ว่า โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่นี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตรายแรกแล้วในประเทศไทย โดยผู้ตายเป็นชาวต่างชาติสูงอายุที่มีโรครุมเร้าอยู่เดิมแล้ว ทำให้การเสียชีวิตของเขาอาจไม่แสดงในทางตรงต่อความรุนแรงของสายพันธุ์ XBB.1.16 แต่อาจเป็นแค่ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ

               แต่สำหรับภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัย โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาล คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ และทำให้หุ้นกลุ่มนี้มีแรงเก็งกำไรในระยะสั้น อาทิ PRINC ,THG ,BCH ,BH ,LPH ,BDMS ,RAM ,SVH ,CHG เป็นต้น

 

เปิดแผนเติบโต 5 หุ้นรพ.

               บล. หยวนต้า ชี้หุ้น “BCH” ที่ราคาเป้าหมาย 25.80 บ. ปรับเพิ่มกำไรปกติปี 66 ราว 7.8% สะท้อนประเด็นบวกจากการปรับขึ้นค่าหัวประกันสังคม 10% จาก1,640 บาทเป็น 1,808 บาทต่อคนต่อปีในเดือน พ.ค. โดยคาดกำไรจะเริ่มพลิกกลับมาเติบโต YoY ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้งในช่วง 4 ปีข้างหน้า (ปี 67-70) กำไรปกติเติบโตเฉลี่ยที่ 7%  ตามแผนกลยุทธ์เติบโตจากทั้งสร้าง รพ.ใหม่ และ M&A มีแผนเพิ่มเตียงจดทะเบียนจากปัจจุบัน 2,254 เตียงเป็น 3,100 เตียงภายในปี 70

               ขณะที่นายกันตพร หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ป่วยโควิดหลังจากเปิดประเทศเริ่มกลับมาอยู่ที่ 150 เตียงในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา พีกสุดในรอบ 4 เดือน ส่งผลให้ภาพรวมปี 2566 บริษัทฯ คาดว่าการเติบโตจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ที่ 10-15%

               บล. กรุงศรี แนะซื้อ “THG” ที่ราคาเป้าหมาย 45 บ. โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% จากรายได้ปี 22 ที่ 2,100ลบ. (ไม่รวม COVID) มีปัจจัยหนุนจากการเพิ่ม Capacity เตียงให้บริการเป็น 127เตียง จาก 75เตียง และให้บริการรักษาโรคผ่านศูนย์การแพทย์เฉพาะทางเต็มปี รวมทั้งปรับแนวทางให้บริการเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง

               อีกทั้ง THG ทุมเงิน 1,500-2,000ลบ. รองรับการซื้อกิจการ รพ. 2-3 แห่ง โดยรพ.ที่อยู่ระหว่างเจรจาเป็น รพ.ระดับ Secondary care ขนาด 100 เตียงขึ้นไป และผลการดำเนินงานเป็นกำไร ซึ่งอาจมีทั้งรับรู้เป็นส่วนแบ่งกำไร หรือรวมงบการเงิน

               บล.อินโนเวสเอ็กซ์ ชูหุ้น “BDMS” ที่ราคาเป้าหมาย 34 บ. คาดรายได้ Q1/66 เติบโต 8% (YoY) เติบโต 6% (QoQ) รับแรงหนุนจากรายได้จากบริการผู้ป่วยชาวต่างชาติที่แข็งแกร่งขึ้น และคาดกำไรปกติปี 66 เติบโต 12% สู่ 1.4 หมื่นลบ. จากพัฒนาการในตลาดต่างประเทศใหม่ๆ เช่น จีนและซาอุดิอาระเบียจะช่วยสนับสนุนให้กําไรเติบโตต่อเนื่อง

               บล.เมย์แบงก์ ปักธง “CHG” ซื้อที่ราคาเป้าหมาย 4.50 บ. จากการขึ้นอัตราจ่ายของประกันสังคมในส่วนของการจ่ายแบบคงที่ต่อหัวที่จะเพิ่ม10.2% เป็น1,808 บาทต่อหัวต่อปีในเดือนพ.ค. คาดปี 66-67 รายได้เพิ่มขึ้น 1.2-1.3%และกำไรเพิ่มขึ้น 1.1-1.5% ในช่วงสองปีเดียวกัน โดยมอง CHG เป็นหุ้นเด่นในอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเนื่องจากอนาคตอันสดใสจากการเติบโตของอุปสงค์ในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เป็นศูนย์กลางทางด้านอุตสาหกรรมของประเทศไทย

               บล.บัวหลวง แนะลงทุน “BH” ที่ราคาพื้นฐาน 250 บาท โดยกำไรหลัก Q1/66 คิดเป็น 29% ของประมาณการกำไรปี 66 หรืออยู่ที่ 5.5 พันลบ. (เพิ่มขึ้น 12% YoY) และคาดรายได้ธุรกิจการแพทย์จะเติบโต 9% YoY หนุนโดยธุรกิจผู้ป่วยต่างชาติที่ฟื้นตัวในครึ่งแรกของปี 66

               ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งแรกของปี 66 มองหุ้น BH เป็นหุ้นที่ดีสุดในธีมการฟื้นตัวการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ธุรกิจผู้ป่วยต่างชาติสามารถฟื้นตัวได้เทียบเท่าหรือมากกว่าช่วงก่อนโควิด อีกทั้งยังมีโอกาสในธุรกิจการแพทย์แบบดิจิทัลและเทคโนโลยีด้านการแพทย์ที่อาจสร้างอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรในอนาคต

 

หุ้นเด่น รับเปิดเมือง

               ด้านนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การกลับมาของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ “XBB.1.16” ไม่น่ากังวล เนื่องจากผู้ติดเชื้อมีจำนวนไม่มาก และการป้องกันรักษาสามารถเข้าถึงผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว

               ในขณะที่การเปิดประเทศหนุนให้นักท่องเที่ยวกลับมาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ทยอยกลับมาราว 2 แสนคนในเดือนมี.ค.จากเดิมก่อนโควิด-19 ที่ 10 ล้านคน คาดหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวโดดเด่น หรือหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่น่าสนใจได้แก่ หุ้น SPA ที่คาดมีกำไรทุกไตรมาส และรับอานิสงส์นักท่องเที่ยวจีนกลับเข้ามา เช่นเดียวกับหุ้น EKH ที่ได้รับประโยชน์จากการที่ลูกค้าชาวจีนที่จะกลับมาใช้บริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) หนุนให้รายได้-กำไร เติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ

 

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon