มิติหุ้น – นายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (DTCENT) ผู้นำในการให้บริการระบบ GPS Tracking อันดับ 1 ในประเทศไทย (อ้างอิงจากข้อมูลกรมการขนส่งทางบกในเดือนมกราคม 2565) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/66 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566) มีรายได้รวม 165.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.98% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 156.23 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 16.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.95% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 13.18 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากรายได้จากการให้บริการใช้ระบบติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) ที่เพิ่มขึ้น
“ภาพรวมผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2566 บริษัทฯ สามารถทำผลงานออกมาได้ดี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัว ภายหลังที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่สามารถควบคุมได้ดี การท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก มีการขนส่งและเดินทางมากขึ้น ลูกค้ากลุ่มหลักของบริษัทฯ เริ่มกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ รวมทั้ง ราคาการให้บริการของ GPS Tracking กลับมาเท่ากับช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้รายได้และกำไรของ DTCENT เติบโตตามไปด้วย”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DTCENT กล่าวอีกว่า บริษัทฯ มั่นใจว่า ยังสามารถทำผลงานในปีนี้ให้เติบโตที่ระดับ 10-15% จากความต้องการใช้ระบบ GPS Tracking ที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับ หากมีความชัดเจนของกรมขนส่งทางบกที่จะมีการออกกฎหมายบังคับใช้ GPS กับรถอีกหลายประเภท เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน จะส่งผลให้ DTCENT มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯ เดินหน้าในการเปิดศูนย์บริการและขายสินค้า GPS Tracking ไปยังจังหวัดหลักในประเทศ ตั้งเป้าหมาย 7 แห่งภายในปีนี้ เพื่ออำนวยความสะดวก รวดเร็ว ในการเข้าใช้บริการให้กับลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ พร้อมกันนี้ ยังมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อสนับสนุนการใช้งานในธุรกิจ GPS และ การพัฒนาซอฟต์แวร์อื่นๆ ตามความต้องการของลูกค้า
ขณะเดียวกัน ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ IoT Solution รองรับการขยายโครงการของภาครัฐ เช่น งานโครงการด้านเมืองอัจฉริยะ (SMART CITY) ตามเทศบาลต่างๆ และ ระบบ AI อย่าง BAMS (Business Activity Management System) ขณะนี้ อยู่ระหว่างการทดสอบการใช้ระบบ รวมทั้ง ระบบบริหารจัดการน้ำ และระบบ BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform ซึ่งคาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
สำหรับการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน เป็นการนำโมเดล ระบบ GPS Tracking และ IoT Solution ร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการศึกษา เจรจาความเป็นไปได้ทางธุรกิจ และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและบริษัทฯ คาดว่า จะเห็นความชัดเจน 1-2 แห่งภายในปี 2566
ในส่วนของความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) วางแผนที่จะพัฒนาให้บริษัทฯ เป็น Tier 1 Supplier ในงาน OEM สำหรับอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้เพิ่มขึ้น ส่วนบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ขณะนี้ ร่วมวางแผนงานการดำเนินธุรกิจ ในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply Chain Solutions ใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้กับบริษัทฯ
สำหรับความคืบหน้าการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง กับธุรกิจหลัก ในรูปแบบการทำ M&A ขณะนี้ อยู่ระหว่างการร่วมพิจารณากับบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชนฯ ประมาณ 4-5 บริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ดี คาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon