มิติหุ้น – SCB CIO ประเมินความไม่แน่นอนทางการเมือง ยังกดดันตลาดหุ้นไทย ว่าที่รัฐบาลชุดใหม่เน้นนโยบายกระจายรายได้ ส่วนแรงกระตุ้นจากภาคการคลังอาจจะไม่มาก มีข้อจำกัดเรื่องหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง เศรษฐกิจไทยได้อานิสงส์การขยายตัวจากภาคการท่องเที่ยว การผลิตในภาคเกษตรและการบริโภคเอกชน คาด SET Index สิ้นปีอยู่ที่ประมาณ 1,660 จุด ส่วนในกรณีหากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า จนกระทบเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ดัชนีหุ้นไทยอาจมีความเสี่ยงปรับลดลงประมาณ -8% จากระดับปัจจุบันที่ ประมาณ 1,550 จุด
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO ได้จัดทำบทวิเคราะห์เรื่อง “จับตาโฉมหน้ารัฐบาลชุดใหม่ กับโอกาสการลงทุนบนตลาดหุ้นไทย” โดยเราประเมินการจัดตั้งรัฐบาลออกมาเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบที่ 1 พรรคก้าวไกล จับมือกับพรรคเพื่อไทย และ 6 พรรคเล็ก มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มาจากพรรคก้าวไกล ส่วนรูปแบบที่ 2 คล้ายรูปแบบแรก แต่เปลี่ยนแคนดิเดตนายกฯ มาจากพรรคเพื่อไทย และรูปแบบที่ 3 พรรคเพื่อไทย บวกฝ่ายรัฐบาลเดิมร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยมีแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย ขณะที่ปัจจุบัน 8 พรรคการเมือง นำโดยพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ได้ร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วม (MOU) เพื่อการจัดตั้งรัฐบาล 23 ข้อ กับ 5 แนวทางปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่การผลักดันนโยบายรัฐบาลต่อไป
ทั้งนี้ SCB CIO ได้ประเมินความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายยังเป็นประเด็นหลักกดดันหุ้นไทย โดยผลกระทบจากนโยบายของพรรคที่เตรียมจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ พบว่า เน้นเรื่องการกระจายรายได้เป็นหลัก ขณะที่แรงกระตุ้นที่มาจากภาคการคลังคาดว่าจะมีได้ไม่มากเท่ากับในอดีต เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่มีสัดส่วนสูง โดยในส่วนของหนี้สาธารณะต่อ GDP ปัจจุบันอยู่ที่ 61% ดังนั้น เพื่อไม่ให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เกิน 70% รัฐบาลชุดใหม่จะต้องหาทางเพิ่มรายได้ภาครัฐให้มากขึ้น จากการจัดเก็บรายได้ภาครัฐรูปแบบใหม่ และ การปรับปรุงระบบภาษี ทำให้แรงกระตุ้นจากภาคการคลังสุทธิ (รายจ่าย-รายได้) ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นมากนัก ในขณะที่หนี้ครัวเรือนที่สูงยังคงเป็นข้อจำกัดของการขยายตัวสินเชื่อการบริโภค แม้มีแรงกระตุ้นเข้ามาก็ตาม
SCB CIO มองว่า นโยบายเศรษฐกิจพรรคที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเอื้อต่อการบริโภคของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางในส่วนของนโยบายการจ้างงานและค่าแรงที่เป็นธรรม หากเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450บาทต่อวัน ภายใน 100วันแรกที่เป็นรัฐบาลจะช่วยให้การบริโภคภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้นแต่อาจส่งผลต่อความสามารถทำกำไรของผู้ประกอบการและการแข่งขันกับประเทศที่มีต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่าไทย เมื่อประเมินผลต่อเงินเฟ้อคาดว่าจะมีจำกัดและใช้เวลาในการส่งผ่าน
ขณะที่การสร้างระบบสวัสดิการดูแลประชาชนตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงวัย คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนให้มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์วงเงินที่ต้องใช้ 650,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนนโยบายส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในทุกอุตสาหกรรม คาดว่า จะส่งผลกระทบกับธุรกิจในกลุ่มการสื่อสารโทรคมนาคม ผู้ผลิตสุราและเบียร์ และกลุ่มโรงไฟฟ้า รวมถึงมีผลต่อการลงทุนในตลาดทุน
ดร.กำพล กล่าวว่า แม้แรงกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะมาจากภาครัฐยังไม่ชัดเจน แต่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากภาคบริการและบริโภคภาคเอกชน โดย SCB CIO ประเมินเศรษฐกิจไทยได้อานิสงส์จากการขยายตัวของภาคบริการ โดยเฉพาะในสาขาที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว รวมทั้งการผลิตในภาคเกษตรและการบริโภคเอกชน ส่วนปัจจัยเสี่ยง คือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายมีแนวโน้มทำให้เกิดการชะลอการลงทุนทั้งในภาครัฐและเอกชน รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวทำให้การฟื้นตัวของภาคส่งออกไทยช้ากว่าคาดการณ์ไว้
ส่วนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยออกจากภาวะ earning recession หรือภาวะที่กำไรถดถอยแล้ว หลังกำไรหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาสในช่วงครึ่งหลังปี 2565 ส่วนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสแรก ปี 2566 ฟื้นตัวกลับมาเป็นบวก และส่งสัญญาณมีแนวโน้มสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ตาม เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากการเปิดเมืองเปิดประเทศ
ทั้งนี้ SCB CIO ยังคงมุมมองตลาดหุ้นไทย เป็น slightly positive โดยคาดว่า ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวดีในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม ต้องจับตามองการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงเสถียรภาพทางการเมือง ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเรียกความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน
หากวิเคราะห์จากเหตุการณ์ปกติที่ควรจะเป็น ( base case scenario ) การจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้นตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย ภายในกลางเดือน ก.ค. และการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2567 มีโอกาสล่าช้าแต่อยู่ในระดับที่จัดการได้ เราคาดว่า SET Index ณ สิ้นปี 2566 จะอยู่ที่ประมาณ 1,660 จุด เพิ่มขึ้น 7% จากระดับปัจจุบันที่ประมาณ 1,550 จุด ส่วนในกรณีเลวร้าย (worse case scenario) หากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า จนกระทบต่อการจัดทำและเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 และมีความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายยืดเยื้อ SET index อาจมีความเสี่ยงปรับลดลงประมาณ -8% จากระดับปัจจุบัน
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoo