มิติหุ้น-ปัจจุบันหลายบริษัทเริ่มหันมาประกอบธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) มากขึ้น เพื่อก้าวสู่ช่องทางการเงินใหม่ของโลกอนาคต และ “PTG หรือ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี” รายใหญ่วงการน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ได้ก้าวสู่วงการนี้อย่างเป็นทางการ
ทุ่ม 300ล. รุก “คริปโทเคอร์เรนซี” ต่อยอดธุรกิจ Non-oil
โดย PTG ได้ทุ่มเงินลงทุนก้อนโตกว่า 300 ล้านบาท ร่วมมือกับ “บ.ยูนิต” บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและการร่วมลงทุน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีทางการเงินและระบบบล็อกเชน ในการจัดตั้ง “บ.แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท หรือ MAXBIT DIGITAL ASSET เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการเทรดสกุลเงินดิจิทัล (คริปโทเคอร์เรนซี) นับเป็นการขยาย “ธุรกิจของ PTG เพื่อเข้าสู่ตลาดการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หวังต่อยอดธุรกิจ Non-oil ที่เป็นเป้าหมายสำคัญของ PTG”
การร่วมลงทุนในครั้งนี้มีผู้ลงทุน 4 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ PTG มีสัดส่วนการลงทุน 35%, บ.ยูนิท ลงทุน 35% ส่วนที่เหลืออีก 30% เป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย 2 ราย โดยเงินลงทุนเริ่มแรกที่ 300 ล้านบาท
เดินหน้าธุรกิจ MAXBIT ต.ค.นี้
MAXBIT ดำเนินธุรกิจภายใต้การบริหารงานของ หนุ่มไฟแรง “คุณปกเขตร รัชกิจประการ” กรรมการผู้จัดการ บ.แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท หรือ MAXBIT DIGITAL ASSET โดย MAXBIT ได้ยื่นเอกสารต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพ์ (ก.ต.ล.) เพื่อขอใบอนุญาตประกอบการเป็นตัวแทนการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย
ปัจจุบันอยู่ในกระบวนการพิจารณา โดยตัวผลิตภัณฑ์ของ MAXBIT ได้พัฒนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากได้ใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ก็สามารถดำเนินกิจกรรมซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ทันที เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในเดือน ต.ค. นี้
ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทได้รับไลเซนส์มาแล้วทั้งหมด 4 ใบ จากทางธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส หรือ Max Card ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ อี มันนี่ ( E-Money ) และกระเป๋าเงินดิจิทัล (E-Wallet) โดยเฉพาะ
โดย MAXBIT มีความได้เปรียบ ตรงนที่สามารถใช้ฐานข้อมูลจากกลุ่ม PTG โดยเฉพาะสมาชิกบัตร MAX card ที่มีอยู่ 18 ล้านราย เบื้องต้นจะนำเสนอบริการให้กับลูกค้ากลุ่มแรก 1.5 แสนราย เน้นโซนกรุงเทพและปริมณฑล ปัจจุบันอยู่ระหว่างหารือกับ ก.ล.ต.เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การบริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในแพลตฟอร์มของ MAXBITกับพอยท์ใน MAX card ที่สามารถนำไปใช้ใน Ecosystem ของเครือ PTG
เปิดให้เทรดสินค้า 21 ตัว
การเป็นตัวแทน และ นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล จะทำให้บริษัท สามารถจัดซื้อ จัดหา สินทรัพย์ดิจิทัลที่ลูกค้าอยากได้จากทุกหนแห่งมาเสนอราคาให้ลูกค้าได้ โดยจะมีการเปรียบเทียบราคาสินทรัพย์ดิจิทัลให้กับลูกค้าผ่านแอพพิเคชั่น MAXBIT พร้อมนำเสนอราคาที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ณ ตอนที่ลูกค้าซื้อกับแพลตฟอร์ม MAXBIT
โดยเหรียญที่จะให้บริการเทรดบนแพลตฟอร์มของ MAXBIT จะมีครบทุกเหรียญที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนในประเทศไทย คาดว่าในช่วงเริ่มต้นจะเปิดให้เทรดสินค้าราว 21 ตัว
ไม่เพียงเท่านั้น MAXBIT เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงในการลงทุนได้โดยมีลักษณะจะคล้ายกับ คอยน์เบสผู้ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลจากสหรัฐซึ่งแพลตฟอร์มที่บริษัทได้ทำการพัฒนาขึ้นมาใหม่ซึ่ง MAXBIT ยังมี “จุดเด่น” ที่คู่แข่งไม่มี คือ ฟังก์ชั่น DCA (Dollar-Cost Averaging) หรือ รูปแบบการลงทุนที่เน้นการทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยจำนวนเงินเท่าๆกัน เพื่อให้ลูกค้าสามารถลงทุนในลักษณะสะสมอย่างสม่ำเสมอ นอกเหนือจากการส่งคำสั่งซื้อขายในลักษณะการเทรดตามปกติผ่านบริการโบรกเกอร์
หวังขึ้นแท่นเบอร์ 1
ด้าน “นายรังสรรค์ พวงปราง” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTG เผยว่า PTG คาดหวังว่า MAXBIT จะเป็นกลไกสำคัญในอนาคตต่อระบบการเงินของ PTG ที่จะช่วยเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-oil และจะเชื่อมกับแอปพลิเคชั่น Maxme ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการเงินอิเลคทรอนิกส์ (E-Money) ที่ PTG ได้รับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย กลายเป็นสะพานเชื่อมสู่ระบบนิเวศน์สู่โลกของสินทรัพย์ดิจิทัลที่รวมไปถึง DeFi และ Metaverse และสุดท้ายจะนำ PTG ก้าวไปสู่บริษัทระดับโลกได้ในไม่ช้า
โดยการเข้ามาลงทุนใน “ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล” ในครั้งนี้ กลุ่ม PTG มองการเติบโตในตลาดไม่ต่ำกว่าอันดับ 2 และจะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอนาคตและช่วยสร้างรายได้เพิ่มจากธุรกิจ Non-oil ยั่งยืนต่อไป
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon