มิติหุ้น – ออสสิริส (Ausiris) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Gold Investment วิเคราะห์สถานการณ์ราคาทองคำเดือนสิงหาคม 2566 เผยแนวโน้มคาดแตะ 2,000 ดอลล่าร์/ออนซ์ ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนหลักจากการคาดการณ์ว่าวัฏจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะใกล้สิ้นสุดแล้ว หากจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อน่าจะมีโอกาสขึ้นเพียงแค่อีก 0.25% อีก 1 ครั้งในครึ่งปีที่เหลือนี้ เนื่องจากความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดสัญญาณของเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันทองระยะสั้น และไม่รุนแรงมาก แนะนำจังหวะดีในการเข้าซื้อทองสะสม
นายพีระพงศ์ วิริยะนุเคราะห์ นักวิจัยอาวุโส แผนก Ausiris Intelligence บริษัท ออสสิริส จำกัด กล่าวถึงสรุปสถานการณ์ราคาทองในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง สามารถกลับมายืนเหนือ 1,900 ดอลล่าร์ หลังราคาทองคำทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 เดือนในช่วงปลายเดือนมิถุนายน และเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,980 หรือประมาณ 31,900 บาท ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ซึ่งถือว่าราคาทองคำในตลาดโลกปรับขึ้นราว 2.6% เมื่อเทียบกับราคาปิดช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน ที่ 1,919 ดอลล่าร์ ขณะที่ราคาทองในประเทศปรับตัวลดลงเล็กน้อยโดยได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยราคาทองคำแท่ง 96.5% ขายออกต่ำสุดบาทละ 31,800 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกต่ำสุดบาทละ 32,300 บาท อ้างอิงราคาจากสมาคมค้าทองคำ
“สำหรับปัจจัยหลักที่หนุนราคาทองในตลาดโลกคือ การอ่อนค่าของสกุลดอลลาร์สหรัฐฯเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังนักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดใกล้ยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ย โดยคาดว่าเฟดจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25 – 5.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี ในการประชุมวันที่ 27 กรกฎาคม เป็นครั้งสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้สำหรับการตัดสินใจสำหรับการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งแน่นอนตลาด Price In ไปพอสมควรแล้วเกี่ยวกับการคาดการณ์นี้ จึงทำให้ราคาทองคำเดินหน้าปรับตัวขึ้นต่อหลังจากรับข่าวดังกล่าว นอกจากนี้แถลงการณ์จากคุณเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ยังเปิดเผยถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินในอนาคต ที่ว่าเฟดจะตัดสินใจในการประชุมเป็นรายครั้ง (Data-Dependent Approach) รวมทั้งพิจารณาถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจประกอบ และแน่นอนตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคมยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป เนื่องจากประธานเฟดไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหากจำเป็น อีกทั้งท่าทีดังกล่าวไม่ได้ชัดเจนและแข็งกร้าว เมื่อเทียบกับการประชุมครั้งก่อน ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังให้น้ำหนักว่าเฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าโดยคาดการณ์สูงถึง 80% อ้างอิงจาก CME Fed Watch Tool จาก CME GROUP แม้ว่าทิศทางดอกเบี้ยภายในปลายปีนี้ผลจะออกมาฝั่งใด หากเราดูสถิติย้อนหลัง 5 ปีล่าสุด ทองยังเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นการลงทุนสินทรัพย์ประเภททองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและเป็นสินทรัพย์น่าลงทุนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน”
สำหรับในเดือนสิงหาคมจะมีตัวเลขเศรษฐกิจและปัจจัยอะไรบ้างที่จะกระทบต่อราคาทอง ออสสิริสได้สรุปมาให้ดังนี้
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำเดือนสิงหาคม
ในวันที่ 4 สิงหาคม จับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งจะสะท้อนความแข็งแกร่งด้านตลาดแรงงาน โดยจะเป็นมาตรวัดหนึ่งที่เฟดจะใช้ในการประเมินทิศทางดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 20 กันยายนนี้ หากตัวเลขแรงงานออกมาดี อาจเพิ่มแนวโน้มโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป (ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ) หากออกมาแย่อาจเพิ่มแนวโน้มโอกาสที่เฟดอาจจะยุติวงจรขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป (ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ)
สำหรับวันที่ 10 สิงหาคม จับตาอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องของเดือน มิถุนายน อยู่ที่ระดับ 3.0% ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2021 อย่างไรก็ตามยังห่างจากของเป้าของเฟด อยู่ที่ 2% มองว่าเฟดยังมีแนวโน้มว่าเฟดยังสามารถขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในครึ่งปีหลังที่เหลือนี้อีก 0.25% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดคาดการณ์ ช่วงปลายปีอยู่ในกรอบ 5.50 – 5.75% ต้องมาติดตามกันต่อในส่วนของตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคม ว่าเงินเฟ้อจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด หากปรับตัวเพิ่มขึ้นอาจกดดันให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟด มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อ (ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ) แต่หากเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอาจลดการคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย (ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ)
กราฟแสดง ความเคลื่อนไหวอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯตั้งแต่ปี 2022 ถึงปัจจุบัน
ส่วนในวันที่ 11 สิงหาคม จับตารายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) จะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในราคาของสินค้าที่ผู้ผลิตได้จำหน่าย ซึ่งเป็นดัชนีที่สำคัญที่บ่งชี้ถึงภาวะเงินเฟ้อของราคาผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นส่วนหลักของภาวะเงินเฟ้อโดยรวม หากสะท้อนว่าเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะสนับสนุนเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ (ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ) แต่หากสะท้อนเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอาจลดการคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย (ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ)
และวันที่ 17 สิงหาคม จับตาการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC)การประชุมนี้จะให้ข้อมูลเจาะลึกที่ละเอียดเกี่ยวกับความคิดเห็นของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯเกี่ยวกับนโยบายการเงินในปัจจุบันรวมถึงทิศทางดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังของสหรัฐฯ ซึ่งเราต้องจับตาดูว่าความเห็นส่วนใหญ่ของคณะกรรมการให้น้ำหนักไปทางไหนมากกว่ากัน สำหรับเรามองว่าไม่ว่าจะให้น้ำหนักไปฝั่งไหน วงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็น่าจะใกล้สิ้นสุดแล้ว
ในช่วงปลายเดือนยังมีสถานการณ์ของวันที่ 24 – 26 สิงหาคม จับตาการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล หรือ “The Jackson Hole Economic Symposium”โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับภาวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยครึ่งปีหลัง ซึ่งเราคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ช่วงปลายปีอยู่ในกรอบ 5.50 – 5.75%
และในวันที่ 31 สิงหาคม จับตาดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลสหรัฐฯ (Core Personal Consumption Expenditure) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯให้ความสำคัญหากสะท้อนว่าเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะสนับสนุนเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ (ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ) แต่หากสะท้อนเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอาจลดการคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย (ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ)
นายพีระพงศ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อราคาทองคำในเดือนสิงหาคม ได้แก่
1.ดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเนื่องจากใกล้สิ้นสุดวงจรการปรับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะเป็นปัจจัยหลักในการหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวสูงขึ้น
2.สถานการณ์ตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศต่างๆ ยังเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
3.สถานการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกจะทำให้ดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งเป็นสกุลหลักมีแนวโน้มอ่อนค่าซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่หนุนราคาทอง
4.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน จะมีผลทำให้ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น
5.แนวโน้มการเกิดเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ จากการตรึงดอกเบี้ยในระดับสูงจะส่งผลบวกกับทองคำ
6.หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐและตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง เงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง ปัจจัยดังกล่าวจะหนุนให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยและจะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทอง
“แนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯ ล่าสุดเดือนสิงหาคม ล่าสุด อยู่ที่ 5.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี อัพเดทล่าสุดวันที่ 27 กรกฎาคม 2023 ขณะที่ Fed Watch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 80% คาดการณ์เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.50% ขณะที่อีก 20% คาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 5.75% ในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 20 ก.ย. ทั้งนี้ส่วนใหญ่ยังมองว่าเฟดใกล้ยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยอีก น่าจะขึ้นได้อีกแค่ครั้งเดียวภายในครึ่งปีหลังที่เหลือนี้ เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดเศรษฐกิจถดถอย ก่อนที่จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าตามการคาดการณ์ของนักลงทุน โดยนักลงทุนให้น้ำหนัก 40% คาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยเดือนมีนาคมปี 2567 คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลง 0.25% กลับมาอยู่ที่ระดับ 5.00-5.25% จากสถิติที่เราเก็บมาช่วงที่เฟดช่วงปรับลดอัตราดอกเบี้ย ดอลลาร์จะมีแนวโน้มอ่อนค่า ทองมีโอกาสขึ้นแทบจะเกือบ 100% เรามองว่าปีหน้า 2024 ราคาทองน่าจะมีการปรับตัวขึ้นรอบใหญ่จากแรงหนุนจากปัจจัยดังกล่าว” นายพีระพงศ์ กล่าว
กราฟแสดง อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯล่าสุด และคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยครึ่งปีหลังปี 2023
นอกจากนี้แนวโน้มราคาทองคำในมุมทางเทคนิค
นายพีระพงศ์ กล่าว ราคาทองคำช่วงปลายเดือนกรกฎาคมเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,980 ดอลล่าร์ หากสามารถเบรคแนวต้านสำคัญที่ 1,986 ดอลล่าร์ ได้ จะทำให้ราคาทองกลับมาเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้นชัดเจนในเดือนสิงหาคม ซึ่งทำให้ราคาทองมีโอกาสกลับมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 2,000 ดอลล่าร์ ได้อีกครั้งตามกรอบเทรนด์ไลน์ขาขึ้น หากพิจารณาร่วมกับอินดิเคเตอร์ Ichi Moku Cloud ประกอบเราพบว่าราคาทองจะเคลื่อนไหวเหนือกลุ่มก้อนเมฆขาขึ้น (Up Kumo) อีกทั้งเส้น Chikou ทะลุขึ้นไปยืน เหนือเมฆขาขึ้น (Up Kumo) บ่งบอกถึง สัญญานซื้อที่แข็งแกร่ง (Buy Signal) ขาซื้อจะได้เปรียบตลาด ในตรงกันข้ามหากเบรคไม่ผ่านทองมีโอกาสกลับมาแกว่งตัวในกรอบ Sideway พักตัวในกรอบ 1,986 ดอลล่าร์ – 1,940 ดอลล่าร์ เพื่อสะสมแรงขึ้นต่อ ทั้งนี้แนวรับ 1,940 ดอลล่าร์ จะเป็นแนวรับสำคัญประจำเดือนสิงหาคม หากหลุดแนวรับดังกล่าวคาดว่าจะมีแรงเทขายออกมามาก และทองมีโอกาสกลับไปเคลื่อนไหวในทิศทางขาลงอาจปรับตัวลงไปที่แนวรับ 1,923 ดอลล่าร์/ 1,900 ดอลล่าร์ สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ยังแนะนำซื้อสะสม หากราคาทองคำยังยืนเหนือ 1,940 ดอลล่าร์ หรือเข้าซื้อหากเบรกแนวต้าน 1,986 ดอลล่าร์
แนวรับ/แนวต้าน เดือนสิงหาคม 2566
แนวต้าน R1: 1,986 / R2: 2,000 / R3: 2,024 / R4: 2,048
แนวรับ S1: 1,962 / S2: 1,940 / S3: 1,923 / S4: 1,892
นอกจากนี้ยังมีสถิติที่น่าสนใจสำหรับราคาทองในตลาดโลกในเดือนสิงหาคมในแต่ละปี 10 ปีย้อนหลัง ได้แก่
1.ราคาทองคำมีความผันผวนสูง ส่วนต่างระหว่างราคาสูงสุดกับราคาต่ำสุดของเดือนมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 110.9 ดอลลาร์
2.ราคาทองคำจะปิดบวกในสิงหาคมเมื่อเทียบกับราคาปิดในเดือนก่อนในแต่ละปีจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 50%
3.ราคาทองคำเดือนสิงหาคมแต่ละปีมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น โดยจะเห็นชัดเจนหลังผ่านปี 2018 เป็นต้นมา
4.การวิเคราะห์คาดการณ์ราคาทองในเดือนสิงหาคมปี 2023 หากใช้วิธีการสถิติที่เรียกว่าการปรับค่าเฉลี่ย (Moving Average) โดยคิดเฉลี่ยของข้อมูลย้อนหลังหลายๆปีเพื่อหาแนวโน้มของข้อมูลและนำมาใช้ในการคาดการณ์ค่าในปี 2023 พบว่าราคาทองคำคาดการณ์มีโอกาสทำจุดสูงสุดที่ 2,076 ดอลลาร์/ออนซ์ และทำจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,867 ดอลลาร์
กราฟแสดง High และ Low สำหรับราคาทองคำในตลาดโลกในช่วงเดือนสิงหาคมในแต่ละปีตั้งแต่ปี 2013-2022
และคาดการณ์สำหรับเดือนสิงหาคมปี 2023
อย่างไรก็ตาม สรุปว่าในเดือนสิงหาคมออสสิริสมองว่าราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนหลักจากการคาดการณ์ว่าวัฎจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะใกล้สิ้นสุดแล้ว หากจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเรามองว่าน่าจะมีโอกาสขึ้นเพียงแค่อีก 0.25% อีก 1 ครั้งในครึ่งปีที่เหลือนี้ เนื่องจากความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดสัญญาณของเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเรามองว่าจะเป็นปัจจัยกดดันทองระยะสั้น และไม่รุนแรงมาก มองเป็นจังหวะดีในการเข้าซื้อทองสะสม หลังจากพ้นจากแรงกดดันดังกล่าว ออสสิริสมองว่าดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าอาจเข้าสู่ ภาวะตลาดหมี (Bearish) แหล่งเงินทุนจะไหลเข้าสู่ตลาดทองคำ และหากเฟดเริ่มส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปีหน้า ก็คาดว่าทองคำจะสามารถลุ้นทำ ALL Time High ได้อีกครั้ง นายพีระพงศ์ กล่าวสรุป
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon