WAVE โชว์ไตรมาส 2/66 ฟื้นตัวแกร่งรายได้พุ่ง 79% วอลล์สตรีท อิงลิช เปิดบริการ”ชลบุรี-ลาว”ดันครึ่งปีหลังโตต่อ

91

มิติหุ้น – เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล โชว์ผลงานไตรมาส2/66 ฟื้นตัวแรงกวาดรายได้กว่า 109 ล้านบาท เติบโต 79% รับอานิสงค์สถาบันสอนภาษา Wall Streeet English เปิดเรียนเต็มรูปแบบดันเติบโตก้าวกระโดด ขณะเดียวกันรับรู้รายได้จากการขายหุ้นเมกะวัตต์ ส่งผลมีกำไรสุทธิ 10 ล้านบาท มั่นใจผลการดำเนินงานครึ่งหลังปีนี้เติบโตต่อเนื่อง จากธุรกิจคาร์บอนเครดิตและวอลล์สตรีท อิงลิช เปิดให้บริการสาขาในจ.ชลบุรีและประเทศลาวเดือนก.ย.นี้

นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (มหาชน) หรือ WAVE เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทรวมบริษัทย่อยงวดไตรมาส 2 ของปี 2566 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2566 มีรายได้รวม 109.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 61 ล้านบาท เนื่องจากสถาบันสอนภาษาอังกฤษ Wall Streeet English สามารถเปิดการเรียนการสอนได้เต็มรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ทั้งคอร์สแบบเรียน On-site ตามสาขาทั้งหมดรวม 13 สาขา และในรูปแบบออนไลน์ ส่งผลให้ภาพรวมของรายได้ของธุรกิจสอนภาษาเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งบริษัทมียอดขายเป็นอันดับ 1 ในเอเชียของกลุ่มธุรกิจ Wall Streeet English

นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 2 /2566 บริษัทยังมีรายได้รับล่วงหน้า (Cash Sale) จากนักเรียนที่ซื้อคอร์สเรียนล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 20% จาก 158.70 ล้านบาท เป็น 189.96 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในงบการเงินเมื่อนักเรียนมาใช้บริการ

“บริษัทมีแผนที่จะลงทุนเปิดสาขาเพิ่มเองในพื้นที่ที่มีศักยภาพ รวมถึงการขยายธุรกิจผ่านระบบแฟรนไชส์ ตามที่บริษัทได้ลงนามในสัญญากับ Sub-Franchisee 2 ราย เพื่อร่วมมือทำแฟรนไชส์ในพื้นที่ จังหวัด ชลบุรี และ เวียงจันทร์ ประเทศลาว คาดว่าจะสามารถเปิดสาขาได้ในช่วงเดือนก.ย. 2566 และสามารถเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทในไตรมาส 4 / 2566”นายเจมส์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/2566 กลุ่มบริษัทมีต้นทุนรวม 67.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยเมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ พบว่าลดลง แสดงให้เห็นถึงความสามารถการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สัดส่วนต้นทุนลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับรายได้ ส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีกำไรขั้นต้น 41.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.52 ล้านบาท หรือ 11,273% และมีสัดส่วนกำไรขั้นต้นต่อรายได้ เพิ่มขึ้น 37% จากเดิม 1% เป็น 38% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในไตรมาส 2 ปี 2566 กลุ่มบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน 6.05 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกับของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 10.84 ล้านบาท หรือมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานลดลง 4.79 ล้านบาท จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งนี้ หากพิจารณาร่วมกับกำไรที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นบริษัท เดอะ เมกะวัตต์ จำกัด จำนวน 14.40 ล้านบาท รวมถึงรายการอื่นๆ กลุ่มบริษัทฯ มีผลกำไรเบ็ดเสร็จสำหรับงวดไตรมาส 2 ปี 2566 จำนวน 9.93 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานรวม6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 213.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 96.28 ล้านบาท หรือเติบโต82% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันหลายไตรมาส ส่งผลให้ในงวด 6 เดือนของปี 2566 บริษัทสามารถสร้างรายได้สูงถึง 75% ของรายได้ทั้งปีของปี 2565 (รายได้ทั้งปี 2565 เท่ากับ 286.10 ล้านบาท)

สำหรับงวด 6 เดือน กลุ่มบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน 17.46 ล้านบาท ลดลง 39.83 ล้านบาท โดยผลขาดทุนมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มบริษัท ทั้งนี้ หากพิจารณาร่วมกับ กำไรที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นบริษัท เดอะ เมกะวัตต์ จำกัด จำนวน 14.40 ล้านบาท รวมถึงการปรับปรุงรายการอื่นๆ กลุ่มบริษัท มีผลขาดทุนเบ็ดเสร็จสำหรับงวดเพียง 1.98 ล้านบาท

ณ วันที่ 30 มิ.ย.2566 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 1,190.48 ล้านบาท และมีสินค้าที่เป็นคาร์บอนเครดิตเพิ่มขึ้น 174.58 ล้านบาท จากการลงทุนซื้อคาร์บอนเครดิตเข้าสต็อก ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ของกลุ่มบริษัท ที่ต้องการสนับสนุนองค์กรไทยในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป็นคลังคาร์บอนเครดิตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นไปตามแผนงานของกลุ่มบริษัทที่วางไว้ จึงซื้อคาร์บอนเครดิต เพื่อรองรับการขายในอนาคต

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon