ออสสิริส มองกันยายน 66 ตลาดทองคำเริ่มฟื้นตัว คาดเฟดใกล้ยุตินโยบายดอกเบี้ยขาขึ้น

476

มิติหุ้น – ออสสิริส (Ausiris) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Gold Investment เผยแนวโน้มตลาดทองคำเดือนกันยายน 2566 ยังรับแรงหนุนหลักจากวัฏจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด คาดการณ์ใกล้สิ้นสุด มีโอกาสอาจปรับขึ้นเพียงแค่ 0.25% อีก 1 ครั้ง ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ มองยังเป็นจังหวะดีในการย่อซื้อทองสะสม เนื่องจากหากพ้นจากแรงกดดันดังกล่าว ดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า ส่งผลให้แหล่งเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดทองคำเพิ่มมากขึ้น

นายพีระพงศ์ วิริยะนุเคราะห์ นักวิจัยอาวุโส แผนก Ausiris Intelligence บริษัท ออสสิริส จำกัด กล่าวถึงสรุปสถานการณ์ราคาทองในตลาดโลกช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดในรอบ 5 เดือนครึ่งที่ระดับ 1,884 ดอลลาร์ ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ซึ่งถือว่าราคาทองคำในตลาดโลกปรับลงราว 4% เมื่อเทียบกับราคาปิดช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคมที่ 1,964 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาทองในประเทศปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน โดยราคาทองคำแท่ง 96.5% ขายออกต่ำสุดบาทละ 31,500 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกต่ำสุดบาทละ 30,835 บาท อ้างอิงราคาจากสมาคมค้าทองคำ สำหรับปัจจัยหลักที่กดดันราคาทองในตลาดโลกคือ การแข็งค่าของสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงสุดในรอบ 22 ปี จากการที่นักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความวิตกกังวลต่อการที่มูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารหลายแห่งในสหรัฐฯ และความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศจีนหลังบริษัทเอเวอร์แกรนด์ อสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีนยื่นล้มละลาย นอกจากนี้ราคาทองคำยังเผชิญกับแรงกดดันหลังประธานเฟดยังส่งสัญญาณการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อให้มั่นใจว่าเฟดสามารถคุมปัญหาเงินเฟ้อได้

สำหรับการลงทุนทองคำระยะยาวหากเราดูสถิติย้อนหลัง 5 ปีล่าสุด ทองยังเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น การลงทุนสินทรัพย์ประเภททองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและเป็นสินทรัพย์น่าลงทุนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้สำหรับในเดือนกันยายนจะมีตัวเลขเศรษฐกิจและปัจจัยอะไรบ้างที่จะกระทบต่อราคาทอง ออสสิริสได้สรุปมาให้ดังนี้

ในช่วงวันที่ 1 กันยายน จับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งจะสะท้อนความแข็งแกร่งด้านตลาดแรงงาน โดยจะเป็นมาตรวัดหนึ่งที่เฟดจะใช้ในการประเมินทิศทางดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 21 กันยายนนี้ หากตัวเลขแรงงานออกมาดี อาจเพิ่มแนวโน้มโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ (ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ) หากออกมาแย่ อาจเพิ่มแนวโน้มโอกาสที่เฟดอาจชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ออกไปและอาจพิจารณาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในครึ่งปีหลังที่เหลือนี้แทน (ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ)

ส่วนในวันที่ 13 กันยายน เป็นเรื่องอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ โดยล่าสุดอัตราเงินในสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเป็น 3.2% ในเดือนกรกฎาคม 2023 จาก 3% ในเดือนมิถุนายน แต่ต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ 3.3% เป็นการหยุดการลดลงติดต่อกันเป็นเวลา 12 เนื่องจากตัวแปรต้นทุนพลังงานปรับตัวปรับตัวลดลงน้อยกว่าเดือนก่อน เนื่องจากเงินเฟ้อในปัจจุบันยังห่างจากของเป้าของเฟดอยู่ที่ระดับ 2% ที่เหลือนี้ต้องมาติดตามกันต่อในส่วนของตัวเลขเงินเฟ้อประจำเดือนสิงหาคมว่าเงินเฟ้อจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด ซึ่งหากปรับตัวเพิ่มขึ้นอาจกดดันให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อ (ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ) แต่หากเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอาจลดการคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย (ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ) สำหรับออสสิริสประเมินว่าเนื่องด้วยตัวแปรราคาพลังงานยังคงสูงอยู่ในเดือนสิงหาคมอาจทำให้ต้นทุนพลังงงานอาจยังปรับตัวลดลงไม่มาก คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อยังปรับตัวลงไม่มากนักจึงเพิ่มโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยอีก 1 ครั้งในปลายปีนี้


กราฟแสดง ความเคลื่อนไหวอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2022 ถึงปัจจุบัน

ต่อด้วยวันที่ 14 กันยายน จับตารายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ดัชนีที่สำคัญที่บ่งชี้ถึงภาวะเงินเฟ้อของราคาผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นส่วนหลักของภาวะเงินเฟ้อโดยรวม หากสะท้อนว่าเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะสนับสนุนเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ (ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ) แต่หากสะท้อนเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอาจลดการคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย (ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ)

และวันที่ 21 กันยายน จับตาการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยรอบสุดท้ายของปีในเดือนนี้หรือไม่ หรือชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนนี้เพื่อไปขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนพฤศจิกายน รวมถึงโอกาสที่เฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงอีกนานแค่ไหน นอกจากนี้จับตาความคิดเห็นของ พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐและคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯเกี่ยวกับนโยบายการเงินในปัจจุบันรวมถึงทิศทางดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังของสหรัฐฯ สำหรับมุมมองของเราจากการตีความคิดเห็นของประธานเฟดล่าสุดในการประชุมเฟดประจำปีที่เมือง “แจ็คสันโฮล” ในเดือนที่ผ่านมา คาดการณ์ว่าเฟดมีโอกาสขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกแค่ 1 ครั้งในปลายปีที่เหลือนี้เท่านั้นหากยังไม่มีสัญญาณความกังวลทางด้านเศรษฐกิจ ล่าสุดข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME Group ล่าสุดชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 78% คาดว่าเฟดน่าจะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน และนักลงทุนให้น้ำหนัก 58% ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 2 พฤศจิกายน ก่อนที่จะจบวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

ส่วนปลายเดือนกันยายน ในวันที่ 29 จะเป็นประเด็นเรื่องดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลสหรัฐฯ ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ความสำคัญหากสะท้อนว่าเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะสนับสนุนเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ (ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ) แต่หากสะท้อนเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอาจลดการคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย (ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ)

ทั้งนี้ออสสิริสมองภาพรวมปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อราคาทองคำในเดือนกันยายน เพิ่มเติม ได้แก่

  1. ความเคลื่อนไหวของสกุลดอลลาร์สหรัฐ: มีโอกาสอ่อนค่าลงหลังนักลงทุนมองว่าแม้FED จะขึ้นดอกเบี้ยต่อ แต่ก็น่าจะไม่เกิน 1 ครั้ง ซึ่งมองว่าตลาดรับข่าวพอสมควรแล้ว อีกทั้งเฟดก็ใกล้ถึงจุดยุติการขึ้นดอกเบี้ยด้วยซึ่งจะเป็นผลบวกต่อทอง ทั้งนี้หากพลิกคาดเฟดกลับส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งซึ่งมองว่ามีโอกาสน้อยมาก ทองอาจกลับสู่แนวโน้มขาลงอีกครั้ง นอกจากนี้ดอลลาร์อาจได้รับผลกระทบจากกลุ่มประเทศ BRICS ที่พยายามลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องเกินกว่า 120% ของ GDP นั้นจะทำให้ความเชื่อมั่นลดลง และมีแนวโน้มที่จะโดนลดเกรดต่อ
  2. ความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ: มีโอกาสกลับตัวจากการขายทำกำไรหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นทำไฮสูงสุดในรอบ22 ปี อีกทั้งเฟดก็ใกล้ถึงจุดยุติการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ซึ่งมุมมองดังกล่าว ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนคลายความกังวลว่าบอนด์ยีลด์จะปรับตัวขึ้นแรงและทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวเพิ่มเติม จะส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสทยอยปรับตัวลดลงซึ่งจะเป็นผลบวกต่อทอง ทั้งนี้หากพลิกคาดอัตราผลตอบแทนกลับปรับตัวพุ่งต่อซึ่งมองว่ามีโอกาสน้อยมาก ทองอาจกลับสู่แนวโน้มขาลงอีกครั้ง
  3. การเกิดสัญญาณเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ อันเป็นผลจากการตรึงดอกเบี้ยในระดับสูง: หากเกิดวิกฤติไม่ว่าจะเป็นภาคธนาคาร ภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือภาคการเงิน จะส่งผลบวกกับทองคำทันที
  4. สถานการณ์ตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก หากกลับมาเข้าสู่สภาวะตึงเครียด อาจทำให้นักลงทุนเข้าถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น (ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อทอง)
  5. สถานการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก
  6. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน: หากรัฐบาลจีนมีมาตรการกระตุ้นและการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจนตัวเลขเศรษฐกิจฟื้นตัวมากกว่าเดือนที่ผ่านมา จะมีผลทำให้ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นในฐานะประเทศที่มีการบริโภคทองคำอันดับต้น ๆ ของโลก

ออสสิริสมองแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯ ล่าสุดเดือนกันยายน อยู่ที่ 5.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี อัปเดตล่าสุดวันที่ 29 สิงหาคม 2023 ขณะที่ Fed Watch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 78% คาดการณ์เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.50% ขณะที่อีก 21% คาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 5.75% ในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 21 ก.ย. นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมองว่า เฟดใกล้ยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยอีก น่าจะขึ้นได้อีกแค่ครั้งเดียวภายในครึ่งปีหลังที่เหลือนี้คาดการณ์ว่า เป็นรอบการประชุมเดือนพฤศจิกายน ก่อนที่จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าตามการคาดการณ์ของนักลงทุน จากสถิติที่ได้เก็บมาช่วงที่เฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ดอลลาร์จะมีแนวโน้มอ่อนค่า ทองมีโอกาสขึ้นแทบจะเกือบ 100% จึงมองว่าปีหน้า 2024 ราคาทองน่าจะมีการปรับตัวขึ้นรอบใหญ่จากแรงหนุนจากปัจจัยดังกล่าว


กราฟแสดง คาดการณ์อัตราดอกเบี้ยครึ่งปีหลังปี 2023 จาก Fed Watch Tool ของ CME Group

หรับแนวโน้มราคาทองคำในมุมทางเทคนิค ราคาทองคำกลับมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 1,900 ดอลลาร์ หลังจากปรับตัวร่วงทำจุดต่ำสุดที่ 1,884 ดอลลาร์ ในเดือนสิงหาคม จนเกิดสัญญาณภาวะตลาดขายมากเกินไป หรือ Oversold ใน RSI อินดิเคเตอร์ ทำให้กราฟราคาทองคำเกิดการรีบาวน์ใน TF1ทั้งนี้หากสามารถเบรคแนวต้านสำคัญที่ 1,950 ดอลลาร์ ได้จะทำให้ราคาทองกลับมาเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้นชัดเจนในเดือนกันยายน ซึ่งทำให้ราคาทองมีโอกาสกลับมาเคลื่อนไหวแตะระดับ 2,000 ดอลลาร์ ได้อีกครั้งตามกรอบเทรนด์ไลน์ขาขึ้นโดยพิจารณาร่วมกับอินดิเคเตอร์ Ichi Moku Cloud ซึ่งเราจะเห็นว่ามีกลุ่มก้อนเมฆขาลงหรือ Down Kumo สร้างรูปแบบเป็นแนวต้านขวางไว้อยู่ หากกราฟแท่งเทียนสามารถเบรคเคลื่อนไหวเหนือกลุ่มก้อนเมฆขาขึ้น (Up Kumo) อีกทั้งเส้น Chikou ทะลุขึ้นไปยืน เหนือเมฆขาขึ้น (Up Kumo) จะบ่งบอกถึง สัญญานซื้อที่แข็งแกร่ง (Buy Signal) ขาซื้อจะได้เปรียบตลาด ในตรงกันข้ามหากเบรคไม่ผ่านทองมีโอกาสกลับมาแกว่งตัวในกรอบ Sideway พักตัวในกรอบ 1,950 ดอลลาร์ -1,985 ดอลลาร์ เพื่อสะสมแรงขึ้นต่อทั้งนี้แนวรับ 1,985 ดอลลาร์ จะเป็นแนวรับสำคัญประจำเดือนนี้ หากหลุดแนวรับดังกล่าวคาดว่าจะมีแรงเทขายออกมามาก และทองมีโอกาสกลับไปเคลื่อนไหวในทิศทางขาลงอาจปรับตัวลงไปที่แนวรับ 1,868 ดอลลาร์/ 1,855 ดอลลาร์ สำหรับกลยุทธ์การลงทุน 

แนวรับ/แนวต้าน เดือนกันยายน 2566

แนวต้าน    R1: 1,930  / R2: 1,950 / R3: 1,987 / R4: 2,000

แนวรับ      S1: 1,900 / S2: 1,985  / S3: 1,968 / S4: 1,955

ทั้งนี้สถิติที่น่าสนใจสำหรับราคาทองในตลาดโลกในเดือนกันยายน ในแต่ละปี 10 ปีย้อนหลัง ได้แก่

  1. ราคาทองคำมีส่วนต่างระหว่างราคาสูงสุดกับราคาต่ำสุดของเดือนมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่90.3ดอลลาร์
  2. ราคาทองคำส่วนใหญ่ปิดลบในกันยายนเมื่อเทียบกับราคาปิดในเดือนสิงหาคมในแต่ละปีเกือบ90% ในTF1M
  3. ราคาทองคำเดือนกันยายนแต่ละปีมีแนวโน้มทำรูปแบบSideway downตั้งแต่ต้นเดือนเกือบ 90% ก่อนที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในเดือนตุลาคมซึ่งมองเป็นจังหวะดีในการซื้อทองคำ
  4. การคาดการณ์ราคาทองในเดือนกันยายนปี2023หากใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของปีก่อนหน้า

จะได้ค่าคาดการใน High ในปี 2023 อยู่ที่ประมาณ 2,055 ดอลลาร์ และคาดการณ์ค่า Low ในปี 2023 อยู่ที่ประมาณ 1,935 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตามค่านี้เป็นการพยากรณ์เพียงแค่ค่าประมาณเท่านั้นไม่สามารถแทนความแน่นอนและความแม่นยำในการทำนายได้


กราฟแสดง High และ Low สำหรับราคาทองคำในตลาดโลกในช่วงเดือนกันยายนในแต่ละปีตั้งแต่ปี 2013-2022 และคาดการณ์สำหรับเดือนกันยายนปี 2023

อย่างไรก็ตาม จึงสรุปได้ว่าในเดือนกันยายน แม้นักลงทุนในตลาดจะปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อยอีก 1 ครั้งในปลายปีนี้ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ต่างก็มองว่า เฟดก็ใกล้ถึงจุดยุติการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ซึ่งมุมมองดังกล่าวทำให้นักลงทุนในตลาดคลายความกังวลต่อความเสี่ยงที่บอนด์ยีลด์จะปรับตัวขึ้นต่อและทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวเพิ่มเติม อาจส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง และดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าเนื่องจากตลาด Price in มาสักพักใหญ่แล้วและราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนหลักจากการคาดการณ์ว่าวัฏจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะใกล้สิ้นสุดแล้ว หากจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ ก็น่าจะมีโอกาสขึ้นเพียงแค่อีก 0.25% อีก 1 ครั้งในครึ่งปีที่เหลือนี้เท่านั้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันทองระยะสั้น ถือเป็นจังหวะดีในการย่อซื้อทองสะสม เพราะหลังจากพ้นจากแรงกดดันดังกล่าว ออสสิริสมองว่าดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า แหล่งเงินทุนจะไหลเข้าสู่ตลาดทองคำ และหากเฟดเริ่มส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปีหน้า คาดว่าทองคำจะกลับมาเป็นขาขึ้นแข็งแกร่งอีกครั้งอย่างแน่นอน ตามสถิติที่เคยขึ้นในอดีต นายพีระพงศ์ กล่าวสรุป

ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง

Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon