สำรวจหุ้นในกลุ่มปตท. 7 บริษัท ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปรวมราว 2.3 ล้านล้านบาท เทียบกับมาร์เก็ตแคปรวมของตลาดที่ราว 18.66 ล้านล้านบาท (ข้อมูล วันที่ 19 ก.ย.66) กำไรของบริษัทกลุ่มปตท.ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ออกมาไม่ดีนัก ฝ่ายวิจัย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) มองทิศทางหุ้นกลุ่มปตท.ในไตรมาส 3 และครึ่งหลังปีนี้อย่างไร? ติดตามได้จากโพสต์นี้
📌 PTT เราปรับประมาณการ EPS ของ PTT ขึ้น 0.6%-6.7% ในปี 66-68 หลังเราปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ Brent เป็น 84.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปี 66 และ 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลปี 67 สะท้อนตลาดน้ำมันโลกที่ตึงตัว เมื่อรวมราคาเป้าหมายใหม่ของบริษัทลูกแล้ว ราคาเป้าหมาย PTT เพิ่มเป็น 36 บาท แต่เราลดคำแนะนำเป็น “ถือ” จาก “ซื้อ” เพราะมองมีความเสี่ยงสูงขึ้น ที่รัฐบาลอาจขอให้ PTT อุดหนุนมาตรการประชานิยมช่วงที่หนี้สาธารณะสูงขึ้น โดย upside risk จะมาจากต้นทุนก๊าซนำเข้าต่ำกว่าคาด ส่วน downside risk จะมาจากความต้องการก๊าซในประเทศที่ต่ำกว่าคาด
📌 PTTEP เราปรับประมาณการ EPS ของ PTTEP ขึ้น 7.1%-14.7% ในปี 66-68 หลังปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมัน และประมาณการ EBITDA ราคาเป้าหมาย PTTEP 07’เพิ่มเป็น 189 บาท แนะ “ซื้อ” แต่บริษัทอาจมี downside risk หากต้องบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าโครงการ LNG ในโมซัมบิก กรณีที่ TotalEnergies (ผู้ดำเนินการ) ไม่สามารถก่อสร้างโครงการได้ก่อนสิ้นปี ทำให้การผลิตก๊าซครั้งแรกต้องเลื่อนออกไป ส่วน upside risk จะมาจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น เราประเมินว่าราคาน้ำมันดิบ Brent ที่เพิ่มขึ้นทุก 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ประมาณการ EPS ของ PTTEP ในปี 67 มี upside 1.7%
📌 GPSC ราคาเป้าหมาย 66.50 บาท แนะ “ซื้อ” GPSC ระบุว่า SPP margin จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 บาท/หน่วยในไตรมาส 3/66 จาก 0.6บาท/หน่วยไตรมาส 2/66 เพราะต้นทุนพลังงานลดลง ประกอบกับโรงไฟฟ้า Glow Energy เฟส 5 จะกลับมาเปิดดำเนินงาน เราคาดว่า SPP margin จะเพิ่มขึ้น ปัจจัยบวกหนุนราคาหุ้นคือ ค่าไฟฟ้าที่สูงกว่าคาดของโรงไฟฟ้า SPP ของ GPSC ส่วน downside risk มาจากต้นทุนก๊าซที่สูงกว่าคาด
📌 TOP ราคาเป้าหมาย 52 บาท แนะ “ถือ” เราคาดว่า ต้นทุน ship-to-ship ที่เพิ่มขึ้นทุก 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะทำให้ทำไรสุทธิต่อเดือนลดลง 320 ล้านบาท TOP จะรับรู้ค่าใช้จ่ายจากเหตุน้ำมันรั่วไหล 1.0 พันล้านบาท และ 500 ล้านบาทในปี 66-67 เราคาด TOP มีกำไรจากสต็อกน้ำมันไตรมาส 3 นี้ จึงปรับประมาณการ EPS ขึ้น 31% ในปี 66 แต่ปรับลงในปี 67-68 สะท้อนค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่สูงขึ้น และมองว่ากำหนดเปิดใช้งาน SBM #2 ที่เกิดน้ำมันรั่ว ยังไม่แน่นอน
📌 IRPC ราคาเป้าหมาย 1.80 บาท ยังแนะ “ขาย” เราปรับประมาณการ EPS ลง 48% ในปี 66 เพื่อรับรู้ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 2/66 เรายังปรับประมาณการ EPS ลง 12.6-19.5% ในปี 67-68 สะท้อนต้นทุนต่อหน่วยที่สูงขึ้นและสเปรดเคมีภัณฑ์ที่ลดลง ปัจจัยลบที่จะฉุดราคาหุ้นในระยะสั้นคือ สเปรด PP-แนฟทาที่อ่อนตัวกว่าคาด ส่วน upside risk จะมาจากต้นทุนน้ำมันดิบที่ต่ำกว่าคาด
📌OR ราคาเป้าหมาย 21.50 บาท แนะ “ขาย” กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังติดลบสูงถึง 4.9 หมื่นล้านบาทในกลางเดือนก.ค. ขณะที่มาตรการยกเว้นจก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันขายปลีก 3-5 บาท/ลิตรของรัฐบาลครบกำหนดไปเดือนก.ค.66 มองว่าค่าการตลาดอาจถูกกดดัน หากรัฐบาลใหม่คุมต้นทุนพลังงานให้อยู่ในระดับต่ำ จึงให้ระมัดระวังแนวโน้มระยะกลางของ OR มองว่าอาจมี upside risk หากกำไรจากสต๊อกน้ำมันสูงกว่าคาด ส่วนปัจจัยลบระยะสั้นคือ ค่าการตลาดที่ต่ำกว่าคาด
📌 PTTGC ราคาเป้าหมาย 34 บาท แนะ “ขาย” มองว่า EBITDA ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางของ PTTGC ยังไม่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ แม้ธุรกิจโรงกลั่นอาจมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันในไตรมาส 3/66 แต่คาด PTTGC จะขาดทุนสุทธิ 843 ล้าน บาทในปี 66 จากเดิมคาดมีกำไร 7.1 พันล้านบาท เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 67-68 ลง 8.4% และ 19.3% หลังปรับลดสมมติฐานสเปรดโอเลฟินส์และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ปัจจัยลบฉุดราคาหุ้นคือต้นทุนอีเทนที่สูงกว่าคาด ส่วน upside risk จะมาจากปริมาณขายโพลิเมอร์ที่สูงกว่าคาด
ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง
Web : https://www.mitihoon.com/
Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon
Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770
Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon